Aftersun1

Aftersun: มิติของสุนทรียศาสตร์แห่งการถ่ายทอดความรัก ความเจ็บปวด และตัวตนที่พร่าเลือน

อุณาโลม จันทร์รุ่งมณีกุล

มันไม่ใช่หนังเรียบง่ายอย่างที่เข้าใจตอนแรกเลย แต่เป็นหนังที่เต็มไปด้วย “ความหมาย” ที่ถ่ายทอดความเจ็บปวด ความรัก และนัยทางวัฒนธรรมของคนอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1990 ได้อย่างลึกซึ้งด้วยศิลปะภาพยนตร์ที่แหวกขนบไวยากรณ์

That's me in the corner
That's me in the spot-light
Losing my religion
Trying to keep up with you
And I don't know if I can do it

(Losing my religion-R.E.M.)

*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง

เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในหลายเวทีประกวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและยุโรป และล่าสุดเข้าไปชิงออสการ์ในสาขาดารานำชาย (Paul Mescal) และถูกโหวตว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของบรรดานักวิจารณ์ในอังกฤษปี 2022 ในขณะที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าหนังเนือยและเข้าใจได้ยากในบางช่วง แต่คนอังกฤษจะ “รู้สึกอิน” กับหนังเรื่องนี้มากขั้นสุด เพราะเหตุผลหลายประการ ทั้งด้วยภาษาหนังที่สุดสร้างสรรค์ เพลงประกอบ mise-en-scene และ ประเด็นหลักในหนัง

โดยส่วนตัวคิดว่า มันไม่ใช่หนังเรียบง่ายอย่างที่เข้าใจตอนแรกเลย แต่เป็นหนังที่มีวิธีการเล่าเรื่องเป็นแบบ non-narrative หรือ alternative narrative คือไม่มีโครงสร้างของบทตามสูตรสำเร็จภาพยนตร์ทั่วไป เป็นหนังที่เต็มไปด้วย “ความหมาย” ที่ถ่ายทอดความเจ็บปวด ความรัก และนัยทางวัฒนธรรมของคนอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1990 ได้อย่างลึกซึ้งด้วยศิลปะภาพยนตร์ที่แหวกขนบไวยากรณ์หนังไปพอควร และเปิดโอกาสให้คนดูตีความโดยไม่เปิดเผยอะไรชัดเจนเหมือนหนังกระแสหลักทั่วไป

หนังเกี่ยวกับโซฟี สาวน้อยวัย 11 ขวบ (แสดงโดย Frankie Corio) ที่ไปเที่ยวตุรกีกับคาลัม (แสดงโดย Paul Mescal) พ่อวัยหนุ่มที่กำลังจะครบรอบวันเกิด 31 ปี ต่างฝ่ายต่างพยายามจะถ่ายทอดความรักความใส่ใจให้กัน แต่ในความสัมพันธ์ของพ่อที่มีอายุน้อยกับลูกสาวที่คาดหวังแบบเด็กในวัย 11 ขวบ มีนัยของความเจ็บปวด พร่าเลือน แปลกแยก อ่อนล้า สูญเสียพลัดพราก ภายใต้รูปแบบการสื่อสารของหนังเรื่องนี้

เพื่อจะตีความในเชิงสุนทรียศาสตร์แบบเจาะลึก ขอรื้อถอนองค์ประกอบของหนังโดยในที่นี้จะขอแบ่งบทวิจารณ์ชิ้นนี้เป็น 3 ส่วนคือ Form-Content-Context หรือ รูปแบบของหนัง เนื้อหาหนัง และบริบทหนัง โดยจะขอกล่าวถึง context ก่อนเป็นอันดับแรก

Context: ความแปลกแยก แสวงหาความหวัง และไร้ทางออก

บริบทสองระดับที่เชื่อมโยงและขับเคลื่อนการเล่าเรื่อง นำไปสู่การเปิดเผย “เบื้องลึก” ความในใจของตัวละคร คือ บริบทของสังคมอังกฤษในยุคทศวรรษ 1990 และบริบทของท้องถิ่นสกอตเองในห้วงเวลานั้น ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 เสียงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาพ่อแม่ในวัยหนุ่มสาว หรือที่เราเรียกในเมืองไทยว่า เป็นพ่อแม่ก่อนวัยอันควร นับเป็นปัญหาที่ถูกหยิบมาพูดถึงบ่อยครั้งในสื่อมวลชน ในวงการการศึกษา และในหมู่นักการเมืองของอังกฤษ ปัญหาของพ่อแม่ที่อายุน้อย (เช่น ตัวละคร คาลัม-แสดงโดย Paul Mescal) ตามมาด้วยอีกหลายปัญหาใหญ่ของสังคมอังกฤษ ตั้งแต่ความไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงเด็ก รายได้ไม่เพียงพอในการเลี้ยงครอบครัว การหย่าร้างแตกแยกของสามีภรรยา และ การหันเข้าหายาเสพติดในหมู่หนุ่มสาว

ในส่วนบริบทท้องถิ่นของสกอตแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมือง Edinburgh – Glasgow ที่เป็นสองเมืองใหญ่ของสกอตแลนด์ที่มีหนุ่มสาวจำนวนมากออกแสวงหาความก้าวหน้าของชีวิต ด้วยการเดินทางไกลไปศึกษาและทำงานในเมืองที่ใหญ่กว่าเช่น ลอนดอน แต่ขณะเดียวกันก็พบว่าปัญหาความแปลกแยกระหว่างตัวตน กับสิ่งที่กำลังดำเนินไปเป็นภาระที่หนักอึ้ง การเดินทางเข้าลอนดอนไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ความพ่ายแพ้ อ่อนล้าและเจ็บปวดของเหล่าหนุ่มสาว ปัญหาเหล่านี้สะท้อนอยู่ในตัวคาลัม พ่อที่มีงบน้อยแต่ต้องการสร้างความสุขให้ลูกสาววัยรุ่น และอยู่ในบทเพลงของทศวรรษที่ 1990 ที่หนังเรื่องนี้ใช้เป็น Key materials เพื่อสะท้อนสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตัวละคร

บริบททางวัฒนธรรมในห้วงเวลานั้น ที่สำคัญคือ เพลงประเภท Electronic-dance และ Rave culture ของอังกฤษ คำว่า Rave culture มีความหมายกว้างและมีที่มาที่ไปจากรากเหง้าของสังคมในอังกฤษ เมื่อนำมาใช้กับ Rave party มักจะถูกตีความว่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์เพลงแบบ Electronic-dance ที่มีแสงเลเซอร์โชว์ ยาเสพติด และปาร์ตี้สนุกสุดเหวี่ยงของวัยรุ่นที่มารวมตัวกันเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ แสดงตัวตนอีกด้านหนึ่ง แสวงหาความหวัง และแสวงหาเพื่อน

ด้วยวัฒนธรรมนี้เอง การร่วมเรฟปาร์ตี้จึงเป็นฉากสำคัญของหนังทุกครั้งที่ตัวเอกคือ คาลัม กำลังดำดิ่งลงจิตใต้สำนึกที่มีแสงไฟทั้งมืดและสว่างวาบเป็นช่วงๆ เป็นจินตนาการสำคัญของหนังที่จะชวนผู้อ่านคิดต่อไปว่า เพราะอะไร และทำไมฉากเหล่านี้จึงต้องมาบ่อย และสำคัญอย่างไร

Film Form: Alternative narrative – สุนทรียศาสตร์ใน 3 มิติ

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ “ภาษาหนัง” ที่รวมทั้งการออกแบบเฟรมภาพ (mise-en-scene) การถ่ายภาพ เสียงประกอบ เพลง การแสดง และวิธีการเล่าเรื่อง (narrative) นอกจากนี้ ปมปัญหาและบุคลิกตัวละครที่ดูจบแล้วอาจจะลืมได้ยากในเฟรมภาพที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ และ “ความหมายที่ซุกซ่อน” ในภาษาหนังของ Charlotte Wells ผู้กำกับหญิงชาวสกอตแลนด์ที่มีถิ่นกำเนิดในเมือง Edinburgh และมาเรียนต่อและทำงานในลอนดอนเช่นเดียวกับคาลัมตัวเอกของเรื่อง

ลักษณะการเล่าเรื่องเป็นแบบทางเลือก (alternative narrative) ที่ไม่ได้อยู่บนขนบของสูตรสำเร็จโครงสร้างภาพยนตร์กระแสหลักที่มักถูกตีกรอบในสามองก์หลัก คือองก์หนึ่ง (ที่มาที่ไปของปัญหาหรือตัวละคร) องก์สอง (เผชิญกับปัญหา) และองก์สาม (ทางออกของปัญหา) แต่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องโดยไม่เรียงตามลำดับใดๆ ไม่มีโครงสร้างของพล็อต แต่เป็นการเล่าเรื่อง 3 มิติที่ถูกนำมาปะติดปะต่อกันด้วยชั้นเชิงของสุนทรียศาสตร์หลากหลายรูปแบบ

มิติที่หนึ่ง คือ มิติที่ทุกคนเห็นและรับรู้ได้ ทั้งตัวละครและคนดูรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (จะเห็นว่ากล้องวิดีโอเป็นเครื่องมือสำคัญ)

มิติที่สอง คือ มิติที่ตัวละครไม่รับรู้หรือพร่าเลือนมาก แต่คนดูรับรู้ (แม้จะคลุมเครือสำหรับตัวละคร แต่คนดูเห็นเกือบทั้งหมด)

มิติที่สาม คือ มิติของจิตใต้สำนึกของตัวละครหรือภาพฝัน (ปรากฏในซีนเรฟปาร์ตี้ การใช้เพลงประกอบและ Background sound)

ในแต่ละมิติ หนังถูกถ่ายทอดผ่านศิลปะภาพยนตร์ในหลายรูปแบบ

มิติที่ 1 คือ ตัวละครรับรู้ และคนดูรับรู้ ซึ่งเป็นมิติที่มักจะเป็นห้วงเวลาความรักความอบอุ่น มีความสุข และความอยากรู้อยากเห็นของโซฟี โดยมีกล้องวิดีโอเป็นตัวกลางสำคัญเริ่มตั้งแต่ที่โซฟีลูกสาววัย 11 ขวบ ถ่ายตัวเองเหมือนเล่าให้เพื่อนฟังด้วยความตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวทะเลที่ประเทศตุรกี (ถ่ายโดยโซฟี) และซีนที่ลาจากกันระหว่างพ่อลูกที่สนามบิน (ถ่ายโดยคาลัม)

แต่เมื่อถึงห้วงเวลาที่ลูกสาวต้องการบันทึกภาพที่จะเปิดเผยตัวตนของพ่อ พ่อกลับไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในกล้อง (จริง ๆ คือ ไม่ต้องการให้อยู่ในความทรงจำของโซฟี) เช่น ฉากนึงที่โซฟีพยายามตื๊อถามพ่อว่า ในตอนที่พ่อ 11 ขวบ พ่อคิดว่าตัวเองจะเป็นยังไงในวัย 31 ขวบ ภาพวิดีโอที่โซฟีกำลังถ่ายพ่อถูกฉายบนจอทีวีเก่า โดยมีหนังสือฝึกไทชิ และฝึกสมาธิวางอยู่ข้างทีวี ด้านหลังทีวีคือกระจกส่องหน้าที่คนดูสามารถเห็นภาพบางเสี้ยวของตัวละคร แต่จะเห็นภาพเต็มทั้งหมดบนจอทีวีรุ่นเก่า

คาลัมปฏิเสธการตอบคำถามและสั่งให้โซฟีปิดกล้อง แต่โซฟีไม่ยอมจนคาลัมเป็นผู้ปิดเสียเอง หลังจากนั้น “บาดแผลวัยเด็ก” ของคาลัมจึงถูกเปิดเผยขึ้นในเงาที่สะท้อนบนจอทีวี เป็นเพียงเงาดำจางๆ แต่คนดูรับรู้จากบทสนทนาได้ว่า ครอบครัวคาลัมลืมวันเกิดเขาและยังมีแม่ที่แสดงท่าทีโมโหด้วย คนดูไม่เห็นสีหน้าของคาลัมและโซฟี และแน่นอนไม่ได้ถูกบันทึกด้วยกล้องวิดีโอ เป็นฉากที่ต้องชมการออกแบบเฟรมภาพ มิสซองแซนที่สื่อความหมายทั้งเบื้องหน้าที่เราเห็นและเบื้องลึกของจิตใจที่ซ้อนทับกันในช็อต long take ที่แค่ตั้งกล้องไว้นิ่งๆ เท่านั้น นี่คือภาษาหนังที่ผ่านการคิดอย่างแยบยล 

ในอีกหลายๆ ฉากที่คาลัมสะท้อนความเจ็บปวดในชีวิตและตัวตนที่ขาดวิ่น หนังจะถ่ายทอดเพียงเงามืดดำหรือด้านหลังของเขา โดยที่ไม่มีความชัดเจนในเฟรมภาพ แต่คนดูก็รู้สึกได้ว่าเขาเจ็บปวดและเหนื่อยล้า ความไม่ชัดเจนในการถ่ายทอดความเจ็บปวดของคาลัม เป็นการเล่าเรื่องที่จะกล่าวถึงในมิติที่สอง

ในมิติที่หนึ่งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกและต่อหน้าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาสว่างจ้าช่วงกลางวัน คาลัมคือพ่อที่พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกที่กำลังเติบโตอย่างมีความหวัง ความอบอุ่น มีคำสอนมากมาย มีการปกป้องเท่าที่เขาจะทำได้ แม้แต่ซีนเล็กๆ อย่างการทา “aftersun” โลชั่นป้องกันผิวไหม้ที่คาลัมเตือนโซฟีเสมอว่าให้ป้องกันตัวเอง 

ขณะเดียวกันในมิตินี้ โซฟีก็พยายามเยียวยาบาดแผลในวัยเด็กของพ่อเท่าที่เด็ก 11 ขวบจะเข้าใจและทำได้ ในซีนที่คนดูจะเห็นว่าโซฟีพยายามโปะโคลนลงบนผิวของพ่อ และไปกระซิบบอกลูกทัวร์ทุกคนให้ร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้พ่อหน่อย แต่เมื่อกล้อง tilt up ไปเจอคาลัม คนดูก็ไม่สามารถเห็นสีหน้าเขาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะเขาอยู่ใต้เงามืด

รูปแบบที่ถ่ายทอดตัวละครด้วยการจัดแสงเงามืดเช่นนี้พบในมิติที่สอง ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาแบบปะติดปะต่อ เต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวเอง ความเจ็บปวด ความพ่ายแพ้ต่อการดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาในจิตใจของพ่อ มันคือมิติที่ตรงกันข้ามกับมิติแรก

ในวิธีการเล่าเรื่องของมิติที่สอง (คนดูจะเห็นภาพต่างๆ แต่ตัวละครคือโซฟีจะไม่เห็น) อันเป็นมิติอันเศร้าหดหู่ของคาลัม หนังใช้การถ่ายทอดด้วยศิลปะการวางเฟรม การใช้สี และการจัดแสง

ฉากสำคัญหนึ่งที่อาจจะสะเทือนใจคนเป็นพ่อทุกคนคือ ฉากที่โซฟีอยากร้องคาราโอเกะแต่พ่อไม่ชอบร้องเพลง เพลงที่โซฟีร้องคือ Losing my religion (R.E.M) คือ การบอกเล่าความในใจของสาวน้อยที่มีต่อชีวิตวัยรุ่นของเธอ และเธอปรารถนาที่สุดที่จะให้พ่อร่วมร้องด้วย แต่พ่อปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว การแสดงของแฟรงกี้ดีมากในซีนนี้ ในขณะที่เธอร้อง…

I thought that I heard you laughing
I thought that I heard you sing
I think I thought I saw you try

เป็นซีนที่ถ่ายทอดความในใจของสาวน้อยด้วยเพลงแห่งยุค เมื่อร้องเสร็จพ่อกลับบอกว่าอาจจะส่งเธอไปเรียนร้องเพลง แต่สิ่งที่ช็อกพ่อคือคำตอบของลูกที่ว่า “หยุดคำสัญญาที่จะจ่ายเงินเพื่อเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าพ่อไม่มีเงินที่จะทำแบบนั้นสักครั้ง” หลังจากนั้นคาลัมขอตัวขึ้นห้องไปนอน ซีนที่โซฟีไม่รับรู้เลยคือ ความผิดหวังในตัวเอง ความพ่ายแพ้ ความอ่อนแอในจิตใจของพ่อ ซึ่งถูกออกแบบให้อยู่ในฉากกลางคืนหรือในสภาพดำมืด เช่น ฉากที่พ่อออกเดินไปในความมืด ไปถึงริมชายหาดและเดินลงทะเลหายไปในความมืด ฉากร้องไห้สะอื้นบนเตียง ทั้งหมดนี้คนดูรับรู้ได้ แต่ตัวลูกไม่ได้รับรู้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความช่างสังเกตและเฉลียวฉลาดของโซฟี เธอพอจะเข้าใจว่าพ่อมีปัญหาในชีวิตแต่เธอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าคืออะไรกันแน่

ซีนที่มีนัยของ “ความตาย” ของคาลัมถูกถ่ายทอดออกมาอย่างน้อย 3 ครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ แม้หนังจะไม่ได้เปิดเผยว่าเขาตายหรือไม่ แต่การเปิดช่องว่างให้คนดูปะติปะต่อความทรงจำของบาดแผลเหล่านี้และตีความด้วยตัวเอง คือเสน่ห์ของหนัง

ซีนที่อยู่ในมิติที่สอง ที่กล้องจับเพียงแผ่นหลังของคาลัมบนเตียงนอน เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน อาจจะด้วยความผิดหวังในชีวิต ต้องการปลดปล่อย หรือเจ็บปวดก็ตาม (หลังจากเหตุการณ์ที่เขาเดินลงทะเลในความมืด และเหตุการณ์ที่ลูกสาวจัดการเซอร์ไพรส์วันเกิดเขา ซึ่งเขาขาดไปในวัยเด็ก) แต่ก็ยิ่งตอกย้ำอาการป่วยไข้ทางจิตใจของเขา โดยที่คนดูไม่เห็นหน้าของเขา ไม่แน่ใจว่าตัวตนเขาจริงๆ รู้สึกอะไร และโซฟีก็ไม่เคยรับรู้ว่าพ่อมีอาการเช่นนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่มีซีนเหล่านี้จะเป็นฉากกลางคืน จัดแสง low key ตัวละครอยู่ในความมืดและบางครั้งก็พร่าเลือน ซึ่งเป็นไปได้ว่า การรับรู้ของโซฟีในวัยเด็กนั้น เธอไม่เข้าใจและรับรู้สิ่งเหล่านี้น้อยมาก เป็นการรับรู้ในมิติที่พร่าเลือนมากของโซฟี

ซีนที่ดีมากในการออกแบบเฟรมภาพ บทสนทนา และการใช้สัญลักษณ์จากสีและของประกอบฉากอย่างเต็มที่คือ ซีนที่แบ่งออกเป็นสองฝั่งด้วยกำแพงที่กั้นอยู่ตรงกลางระหว่างลูกที่นั่งบนโซฟาในห้อง ฉากและของประกอบฉากทั้งหมดในฝั่งของลูกคือสีขาวสว่างและแสงสีส้มโทนอบอุ่น และพ่อที่นั่งบนโถส้วมในห้องน้ำ ฉากคือผนังสีเขียวเข้ม หมองหม่น แสงค่อนข้างมืด ในขณะที่ลูกกำลังนั่งอ่านนิตยสารวัยรุ่นสมัยนั้น “Girl Talk” ที่หน้าปกพาดหัวคำว่า LOVE (โดยที่พ่อไม่รู้ว่าโซฟีตั้งใจอ่านนิตยสารแบบนี้) ตัวพ่อกำลังพยายามตัดเฝือกออกจากแขน และมีเลือดไหลออกตลอดเวลา เมื่อพ่อเอ่ยปากถามว่าอ่านหนังสือที่พ่อให้อ่านหรือยัง โซฟีรีบเปลี่ยนเล่มเอาหนังสือที่ “ควรอ่าน” มาถือแทน ในขณะที่พ่อพยายามด้วยความเจ็บปวดที่จะเยียวยาบาดแผลของตัวเอง แต่ก็มีเลือดไหลไม่หยุด

ความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ อาจจะเป็นการพยายามเยียวยาตัวเองของพ่อให้หายจากอาการบาดเจ็บ และอยากมอบสิ่งดี ๆ ให้ลูก (อ่านหนังสือดีๆ) ในขณะที่ฝั่งของลูกก็กำลังอยากรู้อยากเห็นตามวัยสดใส (mise-en-scene ที่สว่างทุกจุด) แต่พ่อก็ทำไม่สำเร็จ ตรงข้ามกลับมีอาการบาดเจ็บหนักขึ้น (mise-en-scene เขียวเข้มหม่นหมอง แสงมืด) ทั้งสองชีวิตที่แตกต่างอยู่ในเฟรมเดียวกันแต่ให้โทนที่ต่างกันสุดขั้ว

แม้แต่การวางเฟรมภาพของการพยายามเยียวยาตัวเองของคาลัม ซึ่งโซฟีไม่เห็นหรือเห็นเพียงเศษเสี้ยวและไม่เข้าใจ คือ ฉากการฝึกไทชิ ที่คาลัมพยายามทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ซึ่งคนดูก็เห็นตัวคาลัมเพียงเศษเสี้ยวเช่นกัน

ในวิธีการเล่าเรื่องของมิติที่ 3 คือ มิติของจิตใต้สำนึกหรือภาพฝัน คือ การที่คาลัมและโซฟีดำดิ่งลงไปในซีนของเรฟปาร์ตี้ที่มีการเต้นรำกันสุดเหวี่ยง ซึ่งหลายครั้งที่หนังแสดงให้เห็นถึงการปลดปล่อยของคาลัม การดึงดันและสับสนของโซฟี และที่สุดคือการประสานเข้าหากันได้ของทั้งสองฝ่ายท่ามกลางความพร่าเลือนของเรื่องราวต่างๆ แต่มิตินี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งและกดดัน และจะถูกตัดต่อแทรกเข้ามาทุกครั้งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะอ่อนแอหรือคับข้องใจ

ฉากที่โซฟีถูกลากไปเต้นรำทั้งที่เธอไม่ชอบเต้นในเรฟปาร์ตี้ ทั้งการจัดแสงภายใต้วัฒนธรรมคลับที่ใช้แสงเลเซอร์ (ความมืดและสว่างสลับเป็นเหมือนไฟแฟลช) เป็นภาพที่ไม่มีอะไรชัดเจนมากนัก แต่กลับถูกทำให้ชัดเจนในความรู้สึกของคนดูด้วยความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ด้วยเพลง Under pressure (Queen and David Bowie)

….Pressure pushin’ down on me
Pressin’ down on you, no man ask for
Under pressure that brings a building down
Splits a family in two, puts people on streets

…….

‘Cause love’s such an old-fashioned word
And love dares you to care for
The people on the edge of the night
And love dares you to change our way of
Caring about ourselves
This is our last dance
This is our last dance
This is ourselves
Under pressure

เพลงประกอบในเรื่องนี้ทำหน้าที่สำคัญในการขับเน้นสิ่งที่อยู่ในใจของตัวละครที่อาจจะแสดงออกต่อคนอื่นได้ยาก แต่ก็ปรากฏอยู่ในหนังตลอดเรื่องเป็นจำนวนกว่า 10 เพลง

Content: รอยต่อความสัมพันธ์และตัวตนที่แหว่งวิ่น

หัวใจของหนังคงไม่ได้อยู่ที่พยายามจะบอกเล่า “story” และไม่ได้ต้องการ Plot สมบูรณ์แบบอย่างที่เราคุ้นชินในหนังฮอลลีวู้ด ตรงกันข้าม หนัง “ไม่ได้” ต้องการจะสร้างเรื่องเล่าที่สมบูรณ์แบบใดๆ แต่เนื้อหาสำคัญคือ การค้นหา “ตัวตน” ของพ่อว่าที่แท้จริงแล้ว ปมปัญหาที่โซฟีพอจะรับรู้อย่างพร่าเลือนคืออะไร หนังถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกอันหนักอึ้งของฝ่ายพ่อ ความคาดหวังไร้เดียงสาของลูก ความรักของลูกที่อยากจะเยียวยาความทุกข์ของพ่อ ความสัมพันธ์ของพ่อลูกท่ามกลางความโดดเดี่ยวแปลกแยกของพ่อแม่ในวัยหนุ่มสาวที่ไร้ทางออก และภาวะนั้นไม่ต่างจากความรู้สึกของโซฟีเมื่อเธอเติบโตขึ้นอยู่ในวัยเดียวกับคาลัมและมีลูกน้อย

ภาพความพร่าเลือนของความสัมพันธ์ และในที่สุดพ่อก็หายไปจากชีวิตเธอดังภาพนิ่งจากกล้องโพลารอยด์ที่เมื่อถ่ายออกมาแล้วก็ไม่ชัดเจนเสียที แม้ว่าช็อตนี้จะถูกแช่ไว้นานพอควร แต่คนดูก็เห็นเพียงแต่ภาพพ่อลูกในความดำมืดบนรูปภาพนั่นเอง (ซึ่งผิดปกติจากภาพกล้องโพลารอยด์ทั่วไปที่ควรจะค่อยๆ สว่างขึ้นจนคมชัด)

เมื่อเธอหวนกลับมาดูภาพแห่งความทรงจำจากฟุตเทจวิดีโอทั้งหมด หนังบอกเป็นนัยว่าพ่อเธออาจไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วด้วยซีนที่กระชากอารมณ์คนดู 2-3 ครั้ง (เช่น ซีนรถบัสกำลังจะชนคาลัม และซีนที่เขาเดินลงทะเล) เธอรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยวเช่นเดียวกับพ่อในวัยหนุ่มที่แปลกแยกจากบ้านเกิด และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตแม้ว่าจะเดินทางไปทำงานที่ลอนดอน

“ความพ่ายแพ้” ของคาลัมในซีนจบที่สนามบิน พ่อใช้กล้องจับภาพลูกสาวที่กำลังโบกมืออำลา ต่างฝ่ายต่างบอกรักด้วยความอบอุ่น จากนั้นฟรีซภาพโซฟีที่โบกมือบายๆ และแพนมาที่โซฟีตอนวัยสาวที่มีลูกแล้ว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวในเมืองใหญ่และแพนต่อไปเป็นภาพสุดท้ายของพ่อที่เธอเห็นในชีวิต คือ ภาพที่พ่อปิดกล้องและเดินหันหลัง (มีเสียงเด็กทารกแทรก) กลับไปที่ประตูทางออก เมื่อพ่อเปิดประตูแล้ว กลับเป็นปารตี้เรฟ ที่พ่อพร้อมจะดำดิ่งลงไปปลดปล่อยความทุกข์และความพ่ายแพ้ของตน

นอกจากเพลงประกอบแล้ว Background sound ยังทำหน้าที่เล่าเรื่องหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเด็กทารกที่ดังขึ้นตอนที่โซฟีอยู่ในห้องนอน และอีกครั้งที่สนามบินตอนที่คาลัมจะเดินหายไปในเรฟปาร์ตี้

ชื่อเรื่อง Aftersun ศัพท์คำนี้โดยทั่วไปคนจะนึกถึงโลชั่นทาผิวป้องกันแสงแดดไม่ให้ผิวไหม้ และจะเห็นฉากที่คาลัมทาโลชั่นนี้ให้แก่ลูก 2 ครั้ง ทั้งที่โซฟีก็พยายามอยากจะทำเอง เริ่มเรียนรู้ที่อยากจะปกป้องตนเอง แต่อีกนัยหนึ่งของชื่อเรื่องก็คือ หลังจากพระอาทิตย์ลาลับไปแล้ว มันคือความหดหู่พ่ายแพ้ที่เอาชนะไม่ได้สักครั้งแม้จะพยายามเพียงใด จนต้องพรากจากกันไป…

ตัวคาลัม ซึ่งแสดงโดยพอล เมสคาล แบกภารกิจการแสดงที่ต้องถ่ายทอดได้ทั้งมิติที่หนึ่ง สอง และสาม เป็นสามมิติที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ ตัวน้องแฟรงกี้ โคริโอซึ่งแสดงเป็นโซฟีนั้นเสน่ห์เหลือล้น แสดงเป็นธรรมชาติเหมือนไม่แสดง และสำหรับผู้กำกับหญิงชาร์ลอตต์ เวลส์ก็เป็นความหวังของชาวอังกฤษอย่างมากในการจะก่อร่างสร้าง British new wave อีกครั้ง

 

**ผู้เขียน : อุณาโลม จันทร์รุ่งมณีกุล รองศาสตราจารย์ ดร. ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช / ใช้ชีวิตในอังกฤษราว ค.ศ. 2001-2009

more articles

นักเคลื่อนไหวผู้ช่วยสารคดี No Other Land ถูกผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลยิงเสียชีวิต

Odeh Hathalin นักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยงานเบื้องหลัง No Other Land ถูกยิงเสียชีวิตในเขตเวสต์แบงก์ โดยชาวบ้านระบุว่าคนยิงคือผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลที่เคยถูกคว่ำบาตรมาแล้วในฐานะผู้ก่อความรุนแรงในพื้นที่

ตอนที่ 14 : ใช้ AI ในสารคดีได้ไหม ได้แค่ไหน – มองในมุมกฎหมาย กรณีศึกษาสหรัฐอเมริกา

การใช้ AI ในหนัง -โดยเฉพาะหนังสารคดี- กำลังเป็นที่ถกเถียงกันมากทั้งด้านจริยธรรมและกฎหมาย …ในช่วงที่ทุกอย่างยังคลุมเครือนี้ สองนักกฎหมายชาวอเมริกันช่วยสรุปแนวทางเบื้องต้นให้ ซึ่งน่าจะเป็นหลักการกว้าง ๆ ที่คนทำสารคดีในบริบทและพื้นที่อื่น ๆ ก็ใช้ได้เช่นกัน

รำลึกถึง โจล เดม็อตต์ ผู้บุกเบิก Cinéma Vérité แห่งวงการหนังสารคดีอเมริกัน

13 มิ.ย. ที่ผ่านมา วงการสารคดีสูญเสียคนทำหนังแสนสำคัญอย่าง โจล เดม็อตต์ (Joel DeMott) ผู้ร่วมคิดค้นระบบกล้องและการบันทึกเสียงซึ่งทำให้เกิด “การทำสารคดีแบบ Cinéma Vérité ด้วยตัวคนเดียว” และหนังของเธอได้รับการยกย่องว่าถ่ายทอดสังคมอเมริกันได้อย่างทั้งงดงามลึกซึ้ง จนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนทำหนังรุ่นต่อมามากมาย

แนะนำ Better Go Mad in the Wild สารคดีม้ามืดคว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลคาร์โลวี วารี

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาร์โลวี วารี ในสาธารณรัฐเช็กที่เพิ่งจบไป มีเซอร์ไพรส์ใหญ่เพราะผู้คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Crystal Globe Grand Prix) ปีนี้ กลายเป็นหนังสารคดีไฮบริดนอกสายตาเรื่อง Better Go Mad in the Wild

ตอนที่ 13 : เทรนด์ใหม่ของสารคดี – ทำสารคดีด้วย ‘วิดีโอเกม’!

หนังที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกม-เราเคยเห็นมาแล้ว, วิดีโอเกมที่ต่อยอดมาจากหนัง-เราเคยเห็นมาแล้ว, หนังสารคดีว่าด้วยวิดีโอเกม-เราก็เคยเห็นมาแล้ว …แต่คุณเคยดู ‘สารคดี’ ที่ถ่ายทำทั้งเรื่องใน ‘โลกของวิดีโอเกม’ หรือยัง?!

แนะนำ Desire Lines สารคดีไฮบริดสุดล้ำว่าด้วยความหลากหลายทางเพศ

ส่งท้ายเดือน Pride ด้วยการขอแนะนำสารคดีเรื่อง Desire Lines ผู้ชนะรางวัล Special Jury Award จากสาย NEXT ของเทศกาลหนังซันแดนซ์ ปี 2024 ซึ่งเป็นสายที่เน้นหนังที่ฉีกขนบการเล่าเรื่องและเปิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้แก่สื่อภาพยนตร์

เทศกาล DOK Leipzig เยอรมนี เปิดรับ pitching สารคดีสั้น-แอนิเมชันสั้น-ซีรีส์สั้น

เทศกาล DOK Leipzig ประเทศเยอรมนี เปิดรับผลงานทั้งสารคดีสั้น แอนิเมชันสั้น และซีรีส์ขนาดสั้นจากทั่วโลก เข้าร่วมโปรแกรม DOK Short n’ Sweet ซึ่งเป็นเวทีนำเสนองาน (pitching) เพื่อรับคำแนะนำด้านการพัฒนาโปรเจ็กต์ ต่อยอดสู่การหาแหล่งทุนและผู้จัดจำหน่าย

ตอนที่ 12 : รู้จัก ‘Direct Cinema’ – สารคดีที่คนทำหนังเป็นดัง ‘แมลงวันบนกำแพง’

ทศวรรษ 1950 เกิดกลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่ที่มองหาวิธีใหม่ ๆ ในการเข้าถึง ‘ความจริงที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง’ และพวกเขาได้ให้กำเนิดขบวนการสารคดี Direct Cinema ซึ่งพาเราเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับผู้คนและสถานการณ์จริงในแบบที่สารคดีไม่เคยทำได้มาก่อน

แนะนำ : Natchez สารคดีเสียดสีประวัติศาสตร์ เจ้าของรางวัลใหญ่จาก Tribeca

หนังที่คว้ารางวัล Best Documentary จาก Tribeca Festival ปีนี้คือ Natchez ผลงานกำกับของ ซูซานนาห์ เฮอร์เบิร์ต ซึ่งตั้งคำถามว่า “ใครกันแน่ที่เป็น ‘ผู้เล่าเรื่อง’ ประวัติศาสตร์?” ได้อย่างแสบสันน่าสนใจสุด ๆ

แนะนำสารคดี : Holding Liat ความคับแค้นของเหยื่อความขัดแย้ง

ในทุกความขัดแย้งมีความซับซ้อน และหากความขัดแย้งนั้นนำมาซึ่งความสูญเสีย คนที่จะเจ็บปวดที่สุดก็หนีไม่พ้นคนธรรมดาตัวเล็กตัวน้อยเสมอ …หนึ่งในสารคดีที่สะท้อนประเด็นนี้ได้อย่างแหลมคมก็คือ Holding Liat

ย้อนรำลึกประวัติศาสตร์ The Tank Man

5 มิถุนายน ปี 1989 หนึ่งวันหลังจากรัฐบาลจีนใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมของนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ชายคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงดำ ถือถุงใส่ของสองใบ ก้าวออกไปยืนขวางขบวนรถถัง และภาพของเขากลายเป็นประวัติศาสตร์

กองทัพอิสราเอลสั่งห้ามทัวร์สื่อมวลชนเยี่ยมหมู่บ้านในสารคดี No Other Land

ผู้กำกับ No Other Land เชิญสื่อมวลชนต่างชาติเยือนหมู่บ้านมาซาเฟอร์ ยัตตาที่กำลังถูกผู้ตั้งถิ่นฐานอิสราเอลบุกรื้อทำลายบ้านอย่างต่อเนื่อง แต่ทหารอิสราเอลกลับขวางแล้วสั่งนักข่าวให้ออกจากพื้นที่

มาร์แซล โอฟูลส์ ผู้กำกับระดับตำนาน เสียชีวิตแล้วในวัย 97 ปี

มาร์แซล โอฟูลส์ ผู้กำกับระดับตำนานเชื้อสายเยอรมัน-ฝรั่งเศสเจ้าของหนังสารคดีคลาสสิกเรื่อง The Sorrow and the Pity (1979) เสียชีวิตแล้วอย่างสงบในวัย 97 ปี

ตอนที่ 10 : รู้จักเทรนด์ใหม่ของสารคดี – Interactive / Immersive / Algorithmic

สำรวจโลกของสารคดียุคใหม่ที่พาเราก้าวไปสู่ประสบการณ์ที่จับต้องได้ ทั้งสารคดีแบบมีส่วนร่วมที่ให้เราเลือกทางเดินเรื่องได้, สารคดีเสมือนจริงที่ใช้เทคโนโลยี VR/AR พาไปดื่มด่ำกับเหตุการณ์ และสารคดีเชิงอัลกอริทึมที่ใช้ AI ปรับเปลี่ยนเรื่องราวตามการโต้ตอบของเรา

ตอนที่ 9 : รู้จัก ‘สารคดีเชิงสืบสวน’ – ศิลปะแห่งการเปิดโปงความจริง

สารคดีทั่วไปย่อมมีหน้าที่หลักในการนำเสนอความจริง แต่ถ้าเป็น ‘สารคดีเชิงสืบสวน’ (Investigative Documentary) แค่เสนอความจริงก็ยังไม่พอ ยังต้องขุดคุ้ยเจาะลึกไปให้ถึงเบื้องหลังของประเด็นที่ถูกปกปิดจากสายตาสาธารณชน ด้วยความหวังว่าจะล้วงจนเจอต้นตอของมันได้ในที่สุด

ตอนที่ 8 : ทำสารคดีเล่าเรื่องมนุษย์อย่างไร จึงจะมี ‘จริยธรรม’

หนังสารคดีเป็นสื่อที่มีพลังอำนาจในการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของผู้คน แต่พลังอันยิ่งใหญ่ก็ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง คนทำสารคดีจะทำอย่างไรไม่ให้การเล่าเรื่องนั้นกลายเป็นการทำให้พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูกจ้องมองด้วยความเวทนาสงสาร ไร้อำนาจ และเป็นแค่ ‘เหยื่อ’ อยู่ตลอดเวลา?

ตอนที่ 7 : รู้จัก Mockumentary – นึกว่าเป็นสารคดี แต่ที่แท้แค่ ‘หยอก ๆ’

เจาะลึก Mockumentary – สารคดีปลอมที่ใช้เทคนิคเหมือนจริง แต่แท้จริงคือเรื่องแต่ง ตั้งแต่ยุคบุกเบิกจนถึงยุคทอง สำรวจบทบาท ความขัดแย้ง และไปดูตัวอย่างเด่น ๆ กัน

ตอนที่ 6 : Docufiction และ Docudrama คืออะไร? ทำไม ‘เรื่องแต่ง’ ถึงมาอยู่รวมกับ ‘สารคดี’?

ขึ้นชื่อว่าเป็น “สารคดี” แล้วทำไมยังมีสิ่งที่เรียกว่า “เรื่องแต่ง” มาผสมได้? บทความนี้ชวนรู้จัก Docufiction และ Docudrama ที่ทำให้คนชอบหนังสารคดีต้องสับสนอยู่บ่อย ๆ

ตอนที่ 5 : วิธีเล่าแปลก ๆ แบบนี้ ก็เรียกว่า “หนังสารคดี” เหมือนกันนะ

เมื่อพูดถึง “สารคดี” หลายคนอาจนึกถึงภาพคนนั่งให้สัมภาษณ์หน้ากล้อง เสียงบรรยายเหตุการณ์ อินโฟกราฟิกนำเสนอข้อมูล ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้วหนังสารคดีสามารถใช้ศิลปะแห่งการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงได้หลากหลายไม่ต่างจากหนังกลุ่มอื่น เราลองมาดูตัวอย่างที่น่าสนใจกัน

นีโอ โซระ : ความฝัน การเมือง วัยรุ่น ดนตรี – Happyend

Happyend เป็นหนังวัยรุ่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพและการเติบโต บนฉากหลังของสังคมยุคใกล้อนาคตที่กำลังจะล่มสลาย ท่ามกลางการแผ่ขยายของความเกลียดชังทางการเมือง อะไรทำให้ “นีโอ โซระ” คิดเรื่องราวเช่นนี้-แบบที่หาดูได้ไม่ง่ายเลยในหนังวัยรุ่นญี่ปุ่น-ออกมาได้ ซ้ำยังทำมันได้อย่างงดงามเหลือเกิน …บ่ายวันหนึ่งขณะที่เขาเดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ เราไปพูดคุยกับเขาเพื่อค้นหาคำตอบ

ตอนที่ 4 : ‘หนังสารคดี’ เปลี่ยนสังคมได้จริงไหม

หนังสารคดีเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม หรืออย่างน้อยที่สุดก็เปลี่ยนทัศนคติของคนได้จริงไหม และถ้าจริง อะไรคือคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้หนังสารคดีทำได้ถึงขนาดนั้น

ตอนที่ 3 : ‘สารคดี’ เล่าได้กี่แบบ? มาทำความรู้จักวิธีเล่า 6 แบบเบื้องต้น

จับคนมานั่งสัมภาษณ์หน้าฉากสีเทา ๆ, เอาข้อมูลยาก ๆ มาทำอินโฟกราฟิกให้คนดูง่าย ๆ, ใส่เสียงบรรยายอธิบายความตามภาพที่เห็น …ภาพจำของ “สารคดี” ของหลาย ๆ คนอาจเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงแล้ว สารคดีมีความหลากหลายในวิธีการนำเสนอมากกว่านั้น​

ตอนที่ 1 : ‘สารคดี’ คืออะไร

หากคุณเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ที่ประกาศว่าฉาย “หนังสารคดี” คุณควรคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรบนจอ?​ หนังที่บันทึกความจริงอย่างตรงไปตรงมา? หนังที่ถ่ายทอดความเห็นโดยหวังจะเปลี่ยนมุมมองของคุณ? หนังที่คนทำหยิบโลกแห่งความเป็นจริงมาเล่าใหม่ให้เต็มไปด้วยอารมณ์? ทั้งหมดนี้อาจถือเป็นหนังสารคดีทั้งสิ้น และโลกนี้ยังมีวิธีนำเสนอความจริงอีกมากมายที่ท้าทายคำนิยามอยู่เสมอ

นนทวัฒน์ นำเบญจพล กับ “ดินไร้แดน” : คนเมืองกับเรื่องชายแดน

มีนักทำหนังไทยไม่กี่คนที่เอาดีทางการทำสารคดีอย่างจริงจัง หนึ่งในนั้นคือ “นนทวัฒน์ นำเบญจพล” ผู้ใช้สารคดีบอกเล่าถึง “คนนอก” และตั้งคำถามต่อสังคมมาโดยตลอด

คุยกับไพลิน วีเด็ล ผู้พาสารคดี Hope Frozen คว้ารางวัลใหญ่ และอีกมุมของสังคมไทยในสายตาโลก 

จากนักข่าวสู่ผู้กำกับสารคดี คุยกับไพลินถึงพลังของการเล่าเรื่อง เมืองไทยในสายตาต่างชาติ และการต่อสู้ยาวไกลของเธอกว่าจะมาถึงวันคว้ารางใหญ่ระดับโลก