documentary 101

ตอนที่ 3 : ‘สารคดี’ เล่าได้กี่แบบ? มาทำความรู้จักวิธีเล่า 6 แบบเบื้องต้น

gleaners_varda

จับคนมานั่งสัมภาษณ์หน้าฉากสีเทา ๆ, เอาข้อมูลยาก ๆ มาทำอินโฟกราฟิกให้คนดูง่าย ๆ, ใส่เสียงบรรยายอธิบายความตามภาพที่เห็น ...ภาพจำของ "สารคดี" ของหลาย ๆ คนอาจเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงแล้ว สารคดีมีความหลากหลายในวิธีการนำเสนอมากกว่านั้น

ว่ากันตามตำราก่อน… บิล นิโคลส์ ปรมาจารย์ชาวอเมริกันได้จัดแบ่งสารคดีออกเป็น 6 รูปแบบใหญ่ ๆ (หรือจริง ๆ เรียกว่า “วิธีการเล่าเรื่องที่โดดเด่น 6 รูปแบบที่คนทำสารคดีมักเลือกใช้” จะตรงกว่า โดยเราอาจมองมันว่าเป็นเหมือน “ภาษา” ที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าคนทำหนังคนใดจะอยากสื่อสารกับผู้ชมด้วยภาษาแบบไหน) ดังต่อไปนี้

1. Expository Mode : เล่าเรื่องแบบผู้ทรงอำนาจ

นี่เป็นวิธีการเล่าสารคดีแบบที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี … ลองนึกถึงสารคดีธรรมชาติที่มีเสียงบรรยายอันสุดจะทรงพลัง หรือสารคดีบอกเล่าปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่มีเสียงผู้บรรยายคอยอธิบายสิ่งที่เรากำลังชมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยข้อมูลหรือมุมมองที่ผ่านการค้นคว้ากลั่นกรองมาอย่างละเอียดชัดเจน ราวกับมีเพื่อนผู้รอบรู้คอยนั่งอธิบายสถานการณ์อันซับซ้อนให้เราฟังและคล้อยตามโดยไม่ต้องสงสัยหรืองุนงง

ตัวอย่างสารคดีที่โดดเด่นในรูปแบบนี้ ก็เช่น

  • An Inconvenient Truth (2006) สารคดีเตือนภัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มี อัล กอร์ มาคอยอธิบายข้อมูลที่ประกอบด้วยหลักฐานพยานน่าเชื่อถือ และกระตุ้นเร้าให้เราตื่นตระหนกในความเร่งด่วนของปัญหา
  • สารคดีชุด Planet Earth ของ BBC ซึ่งถือเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของสารคดีธรรมชาติที่ใช้การบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อเสริมพลังการเล่าเรื่องผ่านภาพ

2. Poetic Mode : เล่าเรื่องอย่างงดงามดั่งบทกวี

ภาพน้ำฝนหยดบนถนนก็อาจเป็นภาพน้ำฝนหยดบนถนนเฉย ๆ สำหรับเราหลายคน แต่สำหรับคนทำหนังที่มีสายตาดั่งกวี น้ำฝนที่โปรยปรายลงบนถนนอาจหมายถึงการเต้นระบำของแสงและเงาที่มีชีวิตชีวา …ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ ยอริส อีเวนส์ รังสรรค์ขึ้นใน Regen (Rain, 1929) สารคดีที่พลิกโฉมวงการด้วยการให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา

งานในแนวทางนี้มักให้ความรู้สึกราวกับเรากำลังอ่านบทกวีผ่านภาพ มากกว่าจะเป็นสารคดีทั่วไป พวกเขาสร้างความหมายผ่านจังหวะ รูปแบบ และการเชื่อมโยงภาพที่งดงาม แทนที่จะยัดเยียดข้อถกเถียงอย่างโจ่งแจ้ง

ผลงานที่โดดเด่นในแนวทางนี้มีอาทิ

  • Koyaanisqatsi (1982) โดย ก็อดฟรีย์ เรจจิโอ เป็นบทเพลงภาพที่นำพาเราไปดื่มด่ำกับชีวิตสมัยใหม่โดยไม่ต้องอาศัยคำบรรยาย
  • Samsara (2011) โดย รอน ฟริคกี การสำรวจวัฏจักรของชีวิตผ่านภาพตระการตาที่พาผู้ชมท่องไปในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกโดยไม่ต้องพึ่งบทบรรยายเช่นกัน
  • Voyage of Time (2016) ของ เทอร์เรนซ์ มาลิค ซึ่งเต็มไปด้วยภาพที่คลุมเครือ ลึกซึ้ง และเป็นนามธรรม แม้ในหนังจะมีการบรรยายบางส่วน แต่ส่วนใหญ่สามารถมองได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องในเชิงกวี

3. Observational Mode : เล่าเรื่องเหมือนตัวเองเป็นแมลงวัน

เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1960 โลกของสารคดีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเกิดขึ้นของกล้องวิดีโอขนาดเล็กที่ทั้งเบาและพกพาง่าย เอื้อให้คนทำหนังสามารถถือกล้องติดตามซับเจ็กต์ของพวกเขาไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เฝ้าสังเกตชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด ไม่มีการสัมภาษณ์ ไม่มีดนตรีประกอบ ไม่มีเสียงบรรยาย มีเพียงเรื่องจริงดำเนินไปตรงหน้าเลนส์ซึ่งคนทำหนังทำหน้าที่บันทึกไว้แล้วปล่อยให้ผู้ชมตีความเอาเอง

ตัวอย่างผลงานที่ทรงอิทธิพลในแนวทางนี้:

  • Salesman (1969) พี่น้องเมย์เซิลส์ติดตามพนักงานขายคัมภีร์ที่เดินทางไปทั่วอเมริกาและเปิดเผยให้เราเห็นชีวิตอันแสนเหนื่อยล้าของคนตัวเล็กตัวน้อย
  • Grey Gardens (1975) ภาพใกล้ชิดของสองสาวไฮโซที่แยกตัวจากสังคม เผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนและชีวิตที่แปลกประหลาดของพวกเธอ
  • Titicut Follies (1967) เฟรดเดอริค ไวส์แมนเจาะลึกสภาพความเป็นอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช โดยตามถ่ายอย่างต่อเนื่องยาวนานและใกล้ชิดจนสามารถเปิดโปงความจริงอันน่าตกใจในสถาบันของรัฐและอื้อฉาวจนหนังถูกหลายรัฐสั่งแบนอยู่หลายปี
  • Primary (1960)  โรเบิร์ต ดรูว์ ติดตามแคมเปญหาเสียงของเคนเนดี้อย่างใกล้ชิด จนกลายเป็นต้นแบบของสารคดีการเมืองยุคใหม่

4. Participatory Mode : เล่าเรื่องแบบมีส่วนร่วม

สารคดีกลุ่มนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “สารคดีแบบมีส่วนร่วม” ก็เพราะตัวคนทำเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องราว ไม่ใช่แค่ผู้สังเกตการณ์ (observer) แต่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาโดยตรงและอาจจะมีอิทธิพลในการขับเคลื่อนเรื่องเองด้วย ผู้กำกับอาจจะปรากฏตัวต่อหน้ากล้องเพื่อสัมภาษณ์ผู้คน หรือพูดผ่านเสียงพากย์ (voiceover) ก็ได้ นอกจากนั้นการมีส่วนร่วมในที่นี้ยังหมายรวมไปถึงการที่หนังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้คนในชุมชนนั้น โดยผู้กำกับจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ช่วยให้ชุมชนได้มาเล่าเรื่องของตนเอง เป็นการใช้หนังเป็นสื่อสร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้แบ่งปันเรื่องราวและมุมมองของพวกเขา

ตัวอย่างเด่น ๆ เช่น 

  • The Gleaners and I (2000) สารคดีเล่าเรื่องชีวิต “นักเก็บ” หลากหลายกลุ่ม โดยผู้กำกับ อานเญส วาร์ดา เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกฉากอย่างต่อเนื่อง เธอพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับกระบวนการเก็บเกี่ยวของชาวบ้านด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างจริงจัง จนได้รับความไว้วางใจและสามารถติดตามไปบ้านของพวกเขาเพื่อขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม ขณะเดียวกัน เธอก็ใช้กล้องเล่าเรื่องของตัวเธอเองที่เป็น “นักเก็บ” ในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้เรื่องของเธอและซับเจ็กต์เหล่านั้นผสานกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว
  • The Act of Killing (2012) โดย โจชัว ออพเพนไฮเมอร์  งานสะเทือนขวัญที่ให้ผู้ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอินโดนีเซียมาแสดงซ้ำเหตุการณ์อาชญากรรมของตัวเอง สร้างภาพสะท้อนอันน่าสยดสยองของประวัติศาสตร์
  • Approaching the Elephant (2014) ของ อแมนดา โรส ไวล์เดอร์ เป็นสารคดีบันทึกเรื่องราวในปีแรกของโรงเรียนประถมขนาดเล็กแห่งหนึ่งในนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นโรงเรียน “อิสระ” ที่ไม่มีการสอบ ไม่มีการให้เกรด ไม่มีวิชาบังคับ และไม่มีโครงสร้างห้องเรียนตายตัว กฎระเบียบต่างๆ (ยกเว้นเรื่องความปลอดภัยพื้นฐาน) ถูกกำหนดขึ้นโดยนักเรียนผ่านระบบประชาธิปไตย โดยมีนักเรียนประมาณสิบกว่าคน อายุราว 6-10 ขวบ ไวล์เดอร์ได้เข้าไปใช้ชีวิตฝังตัวอยู่ในโรงเรียนนี้เป็นเวลานาน อยู่ร่วมในทุกกิจกรรม พร้อมกล้องและอุปกรณ์บันทึกเสียง (ซึ่งเธอจัดการทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว) ถ่ายทำอย่างใกล้ชิดทั้งเด็ก ๆ ครู และผู้ปกครอง (มีฉากหนึ่งที่เธอนั่งอยู่ในรถที่กำลังมาส่งเด็กที่โรงเรียนด้วย)

5. Reflexive Mode : เล่าเรื่องแบบย้อนมองตัวเอง

เป็นวิธีเล่าเรื่องสารคดีที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนทำหนังกับผู้ชม กระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อการรับรู้ของตัวเอง และทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับ “ความจริง” อีกครั้ง วิธีการของหนังก็คือ การนำเสนอ “กระบวนการสร้างสารคดี” เอง ให้ผู้ชมได้เห็นเบื้องหลังการผลิตในแง่มุมต่าง ๆ โดยตัวคนทำเข้าไปมีบทบาทในเรื่องราวและมักให้กล้องหรือทีมงานเป็นส่วนหนึ่งของหนังด้วย เพื่อเน้นให้ผู้ชมตระหนักถึงโครงสร้างและอิทธิพลของกระบวนการสร้างภาพยนตร์ต่อเนื้อหา และลดอคติที่อาจเกิดขึ้นจากการรับชม

ตัวอย่างของสารคดีกลุ่มนี้ เช่น

  • Man With a Movie Camera (1929) ของ ซิกา แวร์ทอฟ ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเสนอชีวิตของผู้คนในสหภาพโซเวียตโดยไม่มีนักแสดง หนังเปิดเผยให้เห็นกระบวนการถ่ายทำอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง การตัดต่อ หรือการจัดองค์ประกอบภาพ ทำให้ตัวกระบวนการสร้างหนังกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว กระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามว่าวิธีการเหล่านี้มีผลต่อความรู้สึกของพวกเขาอย่างไร
  • Chronicle of a Summer (1961) ของ ฌ็อง รูช กับ เอ็ดการ์ โมแรง ที่ติดตามชีวิตของคนทำงานในฝรั่งเศสช่วงฤดูร้อน พร้อมบันทึกบทสนทนาเกี่ยวกับความสุขและสังคม (โดยก่อนหน้านั้นเราจะได้เห็นผู้กำกับพูดคุยกับผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยว่าจะถ่ายทำกันแบบไหนอย่างไร) ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามว่าฉากไหนในสารคดีเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และฉากไหนถูกจัดวางขึ้น เป็นการกระตุ้นให้เราต้องพิจารณาและตัดสินใจเองเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของภาพที่เห็น
  • Cameraperson (2016) สารคดีที่ เคอร์สเตน จอห์นสัน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอเองในฐานะคนถ่ายภาพหนังสารคดี โดยเธอนำฟุตเทจจากกล้องที่เคยใช้ถ่ายหนังหลาย ๆ เรื่องมาร้อยเรียงต่อกันเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่เธอผ่านพบมา

6. Performative Mode : เล่าเรื่องแบบการเดินทางส่วนตัว

เป็นรูปแบบของสารคดีที่เน้นความเกี่ยวข้องของคนทำหนังกับเรื่องราวที่นำเสนอ โดยใช้ประสบการณ์หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนทำหนังเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจประเด็นที่กว้างขึ้น เช่น การเมือง ประวัติศาสตร์ หรือสังคมของกลุ่มคนต่าง ๆ

สารคดีแนวนี้มักใช้มุมมองที่เป็นอัตวิสัย (subjective lens) เพื่อถ่ายทอด “ความจริง” ที่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแบบสัมบูรณ์ แต่เป็นความจริงที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวของตัวคนทำหนังเอง ผู้กำกับสารคดีแนวนี้มักจะปรากฏตัวในหนังด้วยและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราว นอกจากนี้ยังอาจมีการใช้ฟุตเทจเบื้องหลังการถ่ายทำ หรือฉากที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างคนทำสารคดีกับบุคคลหรือประเด็นที่เขากำลังสำรวจอยู่นั้น

ตัวอย่างเช่น

  • Tongues Untied (1989)  ของ มาร์ลอน ริกส์ สารคดี ที่บันทึกประสบการณ์ของชายผิวดำที่เป็นเกย์ โดยใช้ชีวิตจริงของผู้กำกับเป็นแกนกลางของเรื่อง สารคดีนี้สำรวจประเด็นเกี่ยวกับชนชั้น ศาสนา และการเมือง ผ่านมุมมองส่วนตัวของริกส์เอง
  • Supersize Me (2004) ของ มอร์แกน สเปอร์ล็อค ที่เจ้าตัวไปทดลองกินอาหารจาก McDonald’s ทุกมื้อเป็นเวลา 30 วัน เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพของเขาเอง สารคดีนี้เน้นมุมมองส่วนตัวและประสบการณ์ตรงของสเปอร์ล็อคในการตั้งคำถามถึงอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ด
  • The Salt of the Earth (2014) การเดินทางของ วิม เวนเดอร์ส เพื่อทำความเข้าใจชีวิตและงานของ เซบาสเตียว ซัลกาโด ช่างภาพผู้บันทึกทั้งความงามและความโหดร้ายของมนุษยชาติ
  • I Am Not Your Negro (2016) การใช้ถ้อยคำของ เจมส์ บอลด์วิน เป็นเข็มทิศพาเราท่องไปในประวัติศาสตร์แห่งการเหยียดเชื้อชาติ ผ่านมุมมองอันทรงพลังของนักเขียนผู้ไม่เคยยอมจำนน
  • Time (2020) โดย แกร์เร็ตต์ แบรดลีย์ บันทึกส่วนตัวที่เผยให้เห็นความอยุติธรรมเชิงระบบ ผ่านการต่อสู้อันยาวนานของครอบครัวหนึ่งเพื่อปลดปล่อยคนรักจากคุก

สารคดีแบบ Performative เป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์และความคิดของผู้ชม เนื่องจากไม่เพียงแต่ให้ข้อมูล แต่ยังถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของผู้สร้าง ซึ่งช่วยให้เกิดการตั้งคำถามกับ “ความจริงอื่น ๆ” ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อกระแสหลักประเภทอื่นในสังคม

จะเห็นได้ว่า สารคดีแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม สารคดีจำนวนมากไม่ได้สร้างภายใต้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ผสมผสานหลายสไตล์เข้าด้วยกัน (เช่น Chronicle of a Summer นั้นมีทั้งความเป็น Participatory และ Reflexive, หนังส่วนใหญ่ของ ไมเคิล มัวร์ เป็น Participatory ผสม Performative ขณะที่หนังของพี่น้องเมย์เซิลส์ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งหนังในบุกเบิกแนวทาง Direct cinema เอาเข้าจริงก็มีความเป็นทั้ง Participatory  และ Observational ปะปนกัน) การจัดแบ่งประเภทเช่นนี้จึงไม่ได้มีไว้เพื่อขีดกรอบให้แก่หนังเรื่องไหน แต่มีไว้เพื่อให้เรามองเห็นความหลากหลายของ “วิธีเล่า” ของหนังสารคดีมากกว่า

ที่น่าสนใจคือ แนวคิดข้างต้นของ บิล นิโคลส์ ก็ยังมีผู้เห็นแย้ง และมีหลายคนที่นำเสนอวิธีการจัดแบ่งประเภทของสารคดีแบบอื่น ๆ ที่น่าศึกษาเช่นกัน ซึ่งเราจะนำมาเล่าในบทความตอนต่อ ๆ ไป

โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี

ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม

Related Articles