
ไล่เลี่ยกัน ในโรงหนังแสงสลัวแห่งหนึ่งในปารีส ผู้ชมพากันอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นรถไฟทำท่าจะพุ่งจากจอตรงหน้าเข้าหาพวกเขา… นี่คือสองช่วงเวลาแห่งการค้นพบสำคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นสัญญาณบ่งบอกการก้าวขึ้นมาของ “หนังสารคดี” ในฐานะเครื่องมือล้ำค่าที่สุดของมนุษย์ในการบันทึกความจริง!
Walking Troubles of Organic Hemiplegy (1898) ของมารีเนสกูไม่ได้เกิดจากความทะเยอทะยานทางศิลปะ แต่เกิดจากความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาในฐานะแพทย์ที่จะทำความเข้าใจอาการของโรคและหาหนทางเยียวยาผู้ป่วย ระหว่างปี 1898 ถึง 1901 เขายังสร้างสารคดีการแพทย์อีกหลายเรื่องที่จะเปลี่ยนทั้งวงการหนังและวงการแพทย์ไปตลอดกาล เช่น Walking Troubles of Organic Paraplegies (1899) ที่จับภาพการต่อสู้ในชีวิตประจำวันของคนไข้, A Case of Hysteric Hemiplegy Cured Through Hypnosis (1899) ที่บันทึกการใช้การรักษาทางจิตวิทยาในยุคแรก และ Illnesses of the Muscles (1901) ที่เผยให้เห็นความเปราะบางของร่างกายมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่มารีเนสกูตีพิมพ์ผลการค้นพบของเขาในนิตยสาร La Semaine Médicale โดยเชื่อมโยงเฟรมภาพยนตร์เข้ากับการวิเคราะห์ทางการแพทย์ ก็ยังมีแพทย์อีกคนที่กลายเป็นผู้บุกเบิกวงการหนังสารคดีไปโดยไม่ตั้งใจ เขาคือ ออแฌน-หลุยส์ ดอแย็ง ศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่ทำงานในห้องผ่าตัดในปารีสและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นผู้สร้างหนังเกี่ยวกับการผ่าตัดกว่า 60 เรื่องระหว่างปี 1898 ถึง 1906 งานรวบรวมที่ยังหลงเหลือของเขาอย่าง Extirpation des tumeurs encapsulées (1906) และ Les Opérations sur la cavité crânienne (1911) เผยให้เห็นทั้งความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดและการพยายามทดลองสิ่งใหม่ ๆ ทางภาพยนตร์ไปด้วยพร้อมกัน โดยดอแย็งเขียนไว้ในเวลาต่อมาด้วยว่า หนังยุคบุกเบิกเหล่านี้ของเขา “สอนให้ผมแก้ไขข้อผิดพลาดในวิชาชีพที่ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อน”
ในขณะที่เหล่าผู้บุกเบิกทางการแพทย์กำลังบันทึกความเปราะบางของมนุษย์ สารคดีอีกแบบที่มุ่งบันทึกดราม่าของผู้คนโดยคำนึงถึงความบันเทิงของมวลมหาประชาชนก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน
ในปี 1897 อีนอค เจ. เร็คเตอร์ ทำ The Corbett-Fitzsimmons Fight ซึ่งบันทึกการแข่งขันชกมวยระหว่าง เจมส์ เจ คอร์เบตต์ และ บ็อบ ฟิตซ์ซิมมอนส์ ณ เมืองคาร์สัน ซิตี้ รัฐเนวาดา ในวันเซนต์แพทริก (17 มีนาคม) สารคดีเรื่องนี้มีความยาวกว่า 100 นาที นับเป็นภาพยนตร์ที่มีความยาวมากที่สุดในเวลานั้นจนได้รับการบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว (feature film) และสารคดีขนาดยาวเรื่องแรกของโลก
ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการใช้เทคโนโลยีวนลูปฟิล์มแบบใหม่และประสบความสำเร็จในการดึงดูดฝูงชนทั่วอเมริกา อันเป็นบทพิสูจน์ว่า คนดูหนังพร้อมเสมอที่จะนั่งดู “เรื่องจริงที่น่าตื่นเต้นบนจอ” เป็นเวลานาน ๆ
ความตื่นเต้นของภาพรถไฟที่กำลังแล่นเข้าสถานีในเมืองต่างจังหวัดของฝรั่งเศส ใน The Arrival of a Train (1896) ของพี่น้องลูมิแอร์อาจดูเรียบง่ายไปนิดเมื่อเทียบกัน แต่อาการตกใจของคนดูจนถึงกับกระโดดหนีเพราะกลัวรถไฟพุ่งชน ก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า พลังของหนังในการสร้างความรู้สึกร่วมนั้นอาจไม่ได้อยู่ที่เทคนิคซับซ้อน แต่อยู่ที่การนำเสนอความจริงให้น่าเชื่อต่างหาก
เมื่อภาพยนตร์ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของสารคดีที่บันทึกความจริงอย่างตรงไปตรงมาสำเร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่มันจะรองรับการระเบิดพลังแห่งความสร้างสรรค์ของมนุษย์
ปี 1927 วอลเธอร์ รุตต์มัน สร้าง Berlin: Symphony of a Metropolis ที่แหวกแนวไปจากรูปแบบสารคดีดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง หนังเลือกเล่า “แบบกวี” ด้วยการถ่ายทอดชีวิตในเมืองเบอร์ลินตลอด 24 ชั่วโมงโดยแบ่งเป็น 5 องก์ตามจังหวะชีวิตประจำวัน ผ่านเทคนิคการตัดต่อและการเรียงภาพเป็นจังหวะ ทำให้ความจริงที่ดูธรรมดาสามัญกลายเป็นความพิเศษขึ้นมาทันที
ถัดมา 2 ปี โลกได้เห็น Man with a Movie Camera (1929) ของซิกา แวร์ทอฟ ซึ่งพาสารคดีไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครไปมาก่อน เขาถ่ายทำในหลายเมืองของโซเวียตโดยไม่ใช่แค่บันทึกชีวิตในเมือง แต่เป็น “แถลงการณ์เกี่ยวกับสื่อภาพยนตร์” โดย มิคาอิล คอฟแมน น้องชายของแวร์ทอฟซึ่งทำหน้าที่ทั้งช่างภาพและผู้แสดง ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อจับภาพที่ไม่เคยมีใครทำ นอกจากนั้นหนังยังอัดแน่นไปด้วยการทดลองเชิงเทคนิคใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดรับแสงซ้อน, การใช้ภาพเร็ว, ภาพช้า, ภาพค้าง, มุมเอียง, ภาพซูมใกล้สุด, จอแยก และใช้แอนิเมชั่นหยุดภาพ แต่ละนวัตกรรมนี้ล้วนรับใช้จุดประสงค์ใหญ่ของแวร์ทอฟนั่นคือ การแสดง “ความจริง” ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่ตามนุษย์เห็น แต่เป็นสิ่งที่จะเห็นได้ผ่านเลนส์ของกล้องเท่านั้น
ในช่วงเดียวกับที่สารคดีถูกใช้เชิงทดลอง ก็มีคนทำสารคดีอย่าง โรเบิร์ต ฟลาเฮอร์ตี ที่พยายามใช้มันเป็นเครื่องมือบันทึกชีวิตจริงของผู้คนในดินแดนห่างไกล ด้วยเจตนาจะเผยแพร่ให้ชาวโลกที่เหลือได้รู้จัก
Nanook of the North ออกฉายในปี 1922 และสร้างความฮือฮาทันที หนังติดตามชีวิตของฮีโร่ผู้เป็นนักล่าชาวอินูอิต ขณะที่เขาต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุดของโลก แน่นอนว่าภาพชีวิตหาดูยากเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้อย่างมหาศาล มันทำเงินไปทั่วโลกถึง 251,000 ดอลลาร์ จนถือว่าเป็นสารคดีที่ทำรายได้เยอะที่สุดในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็จุดประเด็นการถกเถียงอันดุเดือดด้วยพร้อมกัน เพราะบางฉากในหนังไม่ใช่ “เรื่องจริง” อย่างที่หนังกล่าวอ้าง เนื่องจากฟลาเฮอร์ตีใช้วิธีบอกให้ซับเจ็กต์แสดงท่าทางการล่าสัตว์โดยใช้อาวุธยุคดั้งเดิม (ทั้งที่ในตอนนั้นจริง ๆ พวกเขาใช้ปืนกันแล้ว) สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามจริงจังเป็นครั้งแรกว่า “คนทำหนังสารคดี” มีสิทธิ์ใช้กลวิธีทางภาพยนตร์เช่นนี้หรือไม่ และการจะ “ถ่ายทอดความจริง” นั้น มันต้องจริงแค่ไหน ใช้การประกอบสร้างเพื่อจะ “เปิดเผยความจริง” -ที่ไม่ได้ปรากฏอยู่จริงตรงหน้าในชั่วขณะนั้น- ได้หรือเปล่า
คำถามดังกล่าวยังไม่ทันจะมีคำตอบ ในปี 1935 อีกคำถามที่สำคัญสุด ๆ ของวงการหนังสารคดีก็ผุดขึ้นตามมา เมื่อ เลนี รีเฟนสตาห์ล ทำ Triumph of the Will ซึ่งบันทึกการเดินขบวนการยิ่งใหญ่ระหว่างการประชุมพรรคนาซีปี 1934 ที่นูเรมเบิร์ก เธอใช้เทคนิคการถ่ายทำปฏิวัติวงการไม่ว่าจะเป็นการใช้มุมกล้องหลากหลายเพื่อจับปฏิกิริยาของฝูงชน, การเคลื่อนกล้องแบบใหม่ที่สร้างความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวและพลัง, การตัดต่ออย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างจุดสูงสุดทางอารมณ์, การใช้ดนตรีอย่างมีกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลกระทบทางดราม่า โดยทั้งหมดเพื่อการปลุกกระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมให้ฮึกเหิมไปกับความยิ่งใหญ่อลังการของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพลพรรคนาซีของเขา
แน่นอนว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป สารคดีเรื่องนี้ก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงและถูกประทับตราว่าเป็น “หนังโฆษณาชวนเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา” แม้เราจะยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคนิควิธีการของหนังนั้นช่วยยกระดับสารคดีขึ้นไปสู่ความเป็นเลิศ แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามด้วยว่า บทบาทของคนทำสารคดีควรถูกขีดเส้นไว้ตรงไหน รีเฟนสตาห์ลรู้หรือไม่ว่าหนังของเธอกำลังทำหน้าที่อะไร และหากรู้ มันผิดหรือถูกที่จะยังทำต่อไปด้วยข้ออ้างว่า “ไม่ว่าอย่างไร คนทำสารคดีก็ต้องทำหน้าที่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น”?
ข้ามมาที่ปลายทศวรรษ 1950-ต้น 1960 วงการสารคดีเกิด 2 ความเคลื่อนไหวใหม่ที่สำคัญที่สุดและอาจจะกล่าวได้ว่าทรงอิทธิพลที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
ในฝรั่งปี 1961 ฌอง รูช และ เอดการ์ โมแรง ทำ Chronicle of a Summer ซึ่งถูกจดจำว่าเป็นสารคดีที่ “สร้างความใกล้ชิดระหว่างคนทำหนังและคนที่ถูกถ่าย” ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน หนังเปิดด้วยการให้นักแสดงหญิงคนหนึ่งถือไมค์ออกไปถามผู้คนตามถนนด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า “คุณมีความสุขไหม” ซึ่งคำตอบและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้หนังค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การสำรวจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ในปารีสยุคใหม่
การทำสารคดีให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทำหนังกับคนที่ถูกถ่ายนี้ ได้รับชื่อเรียกว่าเป็นวิธีการแบบ Cinema Vérité ซึ่งผู้กำกับจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์อย่างชัดเจน มีการสัมภาษณ์ พูดคุย และกระตุ้นให้ผู้คนที่ถูกถ่ายอยู่นั้นเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ (เพราะเชื่อว่า แบบนี้แหละจะทำให้หนังเผยความจริงได้ดีกว่า) บางครั้งอาจถึงขั้นเห็นทีมงานหรืออุปกรณ์การถ่ายทำโผล่เข้ามาในเฟรมด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่านี่คือกระบวนการสร้างภาพยนตร์ ไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ในทางตรงกันข้าม คนทำหนังอเมริกันก็กำลังพัฒนาแนวทางการบันทึกความจริงของผู้คนตามท้องถนนอีกแบบนั้น ปี 1969 พี่น้องเมย์เซิลส์ทำสารคดีเรื่อง Salesman ที่ติดตามพนักงานขายไบเบิลตามบ้าน 4 คนด้วยความใกล้ชิด จนคนดูรู้สึกราวกับเข้าไปนั่งซ่อนตัวแอบดูอยู่ด้วยโดยคนเหล่านั้นไม่ทันสังเกตเห็น หรือกล่าวได้ว่า ราวกับคนทำหนังและเราเป็น “แมลงวันที่เกาะอยู่บนกำแพง”
วิธีการแบบนี้ถูกเรียกว่า Direct Cinema ซึ่งเป็นสารคดีที่เน้นการถ่ายทำแบบสังเกตการณ์ล้วน ๆ โดยผู้สร้างจะพยายามแทรกแซงเหตุการณ์ให้น้อยที่สุด เป็นดังแมลงวันที่แค่เกาะกำแพงแล้วคอยมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ ไม่มีการสัมภาษณ์ ไม่มีการจัดฉาก และไม่มีการบรรยาย
แนวคิดนี้เชื่อว่าความจริงจะปรากฏขึ้นเองเมื่อกล้องอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นนานพอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อคนทำหนังเข้าไปคลุกคลีกับซับเจ็กต์นานพอจนได้รับความไว้วางใจ เขาก็จะสามารถตั้งกล้องบันทึกชีวิตซับเจ็กต์ได้ตามจริงโดยซับเจ็กต์ไม่วิตกกังวลอีกต่อไป
ทั้งสองแนวทางนี้ได้กลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อการทำสารคดีในยุคต่อมา โดยหลาย ๆ เรื่องก็ผสมทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน ภายใต้จุดประสงค์ที่จะถ่ายทอดความจริงของผู้คนให้ได้มากที่สุด
ทศวรรษ 1970 นำมาทั้งโอกาสและข้อจำกัดเมื่อสารคดีย้ายสู่จอเล็ก ทีวีที่ออกอากาศติดต่อกันยาวนานหลายชั่วโมงย่อมต้องการเนื้อหาจำนวนมากมานำเสนอและส่งผลให้เกิดผู้สร้างสารคดีมากมาย แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยก็คือ ทีวีนั้นมาพร้อมโครงสร้างแบบใหม่ เนื้อหารายการแต่ละชิ้นถูกออกแบบให้ไม่เกิน 50 นาที, ต้องมีช่วงโฆษณา และเส้นเรื่องของสิ่งที่เล่าก็ต้องชัดเจนเข้าใจง่าย เพื่อจะได้เข้าถึงคนดูวงกว้างที่มีพื้นเพแตกต่างกัน ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลร้ายให้สารคดีกลายสภาพจากการบันทึกเรื่องจริงเข้มข้น ไปเป็นแค่การเล่าเรื่องเพื่อความตื่นตาตื่นใจชั่วครู่ได้อย่างง่ายดาย
แต่โชคดีที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น สถานีโทรทัศน์หลายแห่งกลับสามารถผลิตสารคดีที่ทั้งจริงจังในเนื้อหา และสร้างนวัตกรรมทางภาพยนตร์ ตัวอย่างโด่งดังเช่น The War Game (1965) ของ ปีเตอร์ วัตกินส์ และสถานี BBC ที่ผสมผสานวิธีการของหนังสารคดีกับหนังคนแสดง เพื่อนำเสนอภาพจินตนาการต่อ “หายนะนิวเคลียร์” อย่างน่าสะพรึงกลัว ชนิดที่เมื่อผู้บริหารสถานีเห็นเข้าก็ต้องสั่งระงับการฉายเพราะเกรงว่าสังคมจะแตกตื่นเกินไป จนกระทั่ง 20 ปีต่อมามันจึงมีโอกาสได้ปรากฏตัวบนจอทีวีในที่สุด
ความเปลี่ยนแปลงในด้านรูปแบบและวิธีการเกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมการมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อคนทั่วไปสามารถเข้าถึงอุปกรณ์การถ่ายหนังได้ในราคาถูกลง พกพาง่าย ใช้งานสะดวก ซึ่งกลายเป็นการเปิดโอกาสให้สารคดีได้เป็นพื้นที่ของ “เสียงใหม่ ๆ” ตัวอย่างเช่น 5 Broken Cameras (2011) ที่ อีมาด บูร์นาต ชาวบ้านปาเลสไตน์ร่วมมือกับ กาย ดาวิดี ผู้กำกับชาวอิสราเอล ใช้กล้องถ่ายภาพวิถีชีวิตของเขาเองกับครอบครัวอย่างใกล้ชิดภายใต้ภายใต้การถูกยึดครอง ส่งผลให้หนังเต็มไปด้วยความเป็นส่วนตัวและทำให้คนดูได้เห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นผ่านเรื่องเล่าของคนสามัญซึ่งแทบไม่เคยปรากฏมาก่อนในหนังหรือสื่อกระแสหลักทั้งหลาย
การที่สารคดีกลายมาเป็นสื่อภาพยนตร์ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้นี้นับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้คนที่เคยอยู่ห่างไกล, ชุมชนที่เคยถูกกีดกันจากเทคโนโลยีมานานสามารถเริ่มบันทึกเรื่องราวของตัวเองเพื่อบอกเล่าสู่โลกได้ ไม่ต้องพึ่งคนนอกมาเป็นผู้ตีความความจริงของพวกเขาอีกต่อไป
ตัวอย่างเช่น ในบราซิล เกิดโครงการ Video in the Villages (1986) ที่ วินเซนต์ คาเรลลี ผู้กำกับชาวอังกฤษ นำกล้องวิดีโอและอุปกรณ์การถ่ายทำไปให้ชุมชนพื้นเมืองต่าง ๆ พร้อมกับจัดอบรมทักษะการถ่ายทำและการเล่าเรื่องให้ เป้าหมายคือเพื่อให้ชนพื้นเมืองสามารถบันทึกและนำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเด็นปัญหาของพวกเขาด้วยตัวเอง ทำให้สารคดีกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชนพื้นเมือง การปกป้องที่ดิน และการอนุรักษ์วัฒนธรรม
ทั้งหมดนี้เป็นความเป็นมาอย่างย่นย่อของ “หนังสารคดี” ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกันในแง่รูปแบบและวิธีการ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามวิสัยทัศน์ของคนทำและความเป็นไปได้ในแต่ละยุคสมัย ทว่าจุดร่วมหนึ่งซึ่งไม่เคยเปลี่ยนและเป็นหัวใจของสารคดีเสมอมา ก็คือ การเป็นสื่อที่มุ่งบันทึกความจริงและแบ่งปันประสบการณ์อันหลากหลายของมนุษย์สู่มนุษย์
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
Documentary Club is a group of film lovers dedicated to creating diverse spaces in Thailand for alternative films, especially documentaries. We do this by distributing films through various channels, organizing film screenings, hosting film festivals, and arranging discussion forums, in collaboration with partners from both the film industry and social sectors across the country.
Movies Matter Co.,Ltd.
Bangkok, Thailand