documentary 101

ตอนที่ 9 : รู้จัก ‘สารคดีเชิงสืบสวน’ : ศิลปะแห่งการเปิดโปงความจริง

Citizenfour

ในยุคสมัยที่เรามีข้อมูลข่าวสารให้เสพกันท่วมท้น แต่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมกลับค้นหา ‘ความจริง’ ได้ยากขึ้นทุกทีนี้ คนทำหนังสารคดีเชิงสืบสวน (Investigative Documentary) จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ๆ

ถ้านิยาม ‘สารคดีเชิงสืบสวน’ กันอย่างสั้นที่สุด มันก็คือ การผสมผสานการทำข่าวสืบสวน (Investigative Journalism) เข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องผ่านภาพ (Visual Storytelling) นั่นเอง โดยหนังสารคดีกลุ่มนี้มีความพิเศษดังไปต่อนี้

1. มีการทำงานสืบสวนอย่างลึกซึ้งและใช้เวลายาวนาน

คนทำสารคดีเชิงสืบสวนต้องทุ่มเททั้งเวลาและทรัพยากรจำนวนมาก บางครั้งอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายปีในการติดตามประเด็นเดียว ซึ่งแตกต่างจากงานข่าวที่มักมีข้อจำกัดด้านกำหนดเวลาส่งงานเพราะต้องนำเสนออย่างฉับไวทันท่วงที

การทำงานอันยาวนานนี้เปิดโอกาสให้คนทำสารคดีสามารถติดตามพัฒนาการของเรื่องราวนั้น ๆ ได้ต่อเนื่อง มีเวลาในการสร้างความไว้วางใจกับแหล่งข้อมูลสำคัญและการสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ทำให้มีโอกาสที่จะได้ข้อมูลที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

2. มีการรวบรวมและใช้งานหลักฐานหลากหลายรูปแบบ

ความที่มีเวลาในการทำงานยาวนานซึ่งเอื้อให้มองเห็นสถานการณ์ได้หลากหลายแง่มุม คนทำสารคดีสืบสวนจึงมักไม่หยุดอยู่แค่การสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ แต่จะรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งเอกสารลับ ภาพและคลิปจากหอจดหมายเหตุ คำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลจากผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower) หรือแม้แต่การลงพื้นที่สืบค้นด้วยตนเอง ซึ่งหลักฐานพยานเหล่านี้จะช่วยให้หนังเล่าเรื่องได้ครบถ้วน ยิ่งหากมีวัตถุประสงค์ที่จะเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของผู้มีอำนาจ หลักฐานที่แน่นหนาก็จะยิ่งช่วยให้หนังมีความน่าเชื่อถือสูงและทำให้เป้าหมายปฏิเสธได้ยากขึ้น

3. การมองทะลุไปให้เห็นโครงสร้างปัญหา

หัวใจสำคัญของสารคดีกลุ่มนี้คือ นอกจากจะนำเสนอว่า “เกิดอะไรขึ้น” แล้ว ยังต้องขุดลึกให้พบด้วยว่า “ทำไมถึงเกิดขึ้น” “มีใครอยู่เบื้องหลัง” และ “อะไรคือเงื่อนไขให้เกิดสิ่งนี้” โดยนำเสนอบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนดูเข้าใจว่าเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเองเฉย ๆ แต่มันเป็นผลพวงจากระบบและโครงสร้างที่มีปัญหา

4. ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ

แม้จะเต็มไปด้วยข้อมูลซับซ้อน แต่สารคดีเชิงสืบสวนที่ประสบความสำเร็จมักมีวิธีการนำเสนอที่ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามสำหรับคนทั่วไป โดยใช้วิธีเล่าเรื่องที่หลากหลาย เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึก, การนำเสนอข้อมูลยาก ๆ ผ่านภาพกราฟิก, การจำลองเหตุการณ์ขึ้นใหม่ (Reenactment) เพื่อให้คนดูนึกตามได้และเข้าใจได้ง่าย หรือการวางโครงเรื่องในรูปแบบเดียวกับหนังระทึกขวัญเพื่อสร้างความตึงเครียด ลุ้นระทึก และความอยากรู้อยากเห็นแก่คนดู

5. คำนึงถึงการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับคนดู

สารคดีเชิงสืบสวนที่ทรงพลังไม่ได้แค่นำเสนอข้อเท็จจริงแห้ง ๆ แต่จะให้ความสำคัญกับการทำให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วม เช่น นอกจากจะเสนอประเด็นและเบื้องหลังของปัญหาแล้ว ยังเล่าชีวิตจริงของผู้คนที่ได้รับผลกระทบ ความหวัง ความเจ็บปวด และการต่อสู้ของพวกเขา ซึ่งช่วยให้ประเด็นที่อาจดูไกลตัวนั้นกลายมาเป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนดูรู้สึกสัมผัสและเข้าถึงได้

ในยุคสมัยที่เรามีข้อมูลข่าวสารให้เสพกันท่วมท้น แต่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมกลับค้นหา ‘ความจริง’ ได้ยากขึ้นทุกทีนี้ คนทำหนังสารคดีเชิงสืบสวน (Investigative Documentary) จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ๆ

ความสำคัญและบทบาทของสารคดีเชิงสืบสวนในสังคม :

1. ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ

ในโลกที่ความจริงถูกทำให้คลุมเครือหรือถูกบิดเบือนได้ง่าย สารคดีเชิงสืบสวนจะมีบทบาทในการตรวจสอบและท้าทายผู้มีอำนาจทั้งในรัฐบาล ธุรกิจ และสถาบันต่าง ๆ จนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย การลาออกของผู้มีอำนาจ หรือการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้

2. เปิดโปงความจริงที่ถูกปกปิด

หากสื่อกระแสหลักไม่กล้าหรือสนใจที่จะเปิดโปงความจริงบางอย่าง ไม่ว่าจะเพราะถูกผู้มีอำนาจคุกคาม, ประเด็นซับซ้อนเกินไป หรือประเด็นนั้น ๆ ‘ขายยาก’ ในทางธุรกิจ สารคดีเชิงสืบสวนจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่อาจไม่เป็นที่นิยมหรือสร้างความไม่สบายใจ แต่จำเป็นต้องถูกรับรู้

3. เป็นกระบอกเสียงให้ผู้ไร้เสียง

สารคดีเชิงสืบสวนมักให้พื้นที่กับผู้คนที่ไม่มีโอกาสได้พูดในพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม ผู้แจ้งเบาะแสที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดเผยการทุจริต ชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ หรือนักกิจกรรมที่ต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง การนำเสียงเหล่านี้มาสู่สาธารณะจะทั้งช่วยสร้างความตระหนักรู้, ท้าทายมุมมองกระแสหลักที่มักถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจ และเมื่อผู้ชมได้ยินเรื่องราวจากมุมมองที่แตกต่าง พวกเขาก็อาจเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘ความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้’

4. กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

สารคดีเชิงสืบสวนไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อให้ความรู้ แต่คนทำหนังยังมักหวังให้มันมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วย และในความเป็นจริงก็มีหนังกลุ่มนี้หลายเรื่องที่ทำได้สำเร็จจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เกิดการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ เกิดการฟ้องร้องผู้กระทำผิด การแก้ไขกฎหมาย หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะ เป็นต้น

5. แก้ไขข้อมูลผิด ๆ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

ในยุคที่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจายไปทั่ว สารคดีเชิงสืบสวนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยแยกแยะระหว่างความจริงและความเท็จ แก้ไขความเข้าใจผิดที่ถูกเผยแพร่โดยสื่อกระแสหลัก และนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน

ตัวอย่างเด่นของหนังสารคดีเชิงสืบสวน :

The Thin Blue Line (1988)

หนังที่ถือเป็นงานบุกเบิกและเปลี่ยนโฉมหน้าวงการสารคดีเชิงสืบสวนไปตลอดกาล …ผู้กำกับ เออร์รอล มอร์ริส ใช้เวลากว่าสองปีในการสืบสวนคดีฆาตกรรมตำรวจในรัฐเท็กซัส จนค้นพบว่าผู้ต้องหา (ซึ่งศาลออกคำสั่งตัดสินประหารชีวิตแล้ว) แท้จริงเป็นผู้บริสุทธิ์!

นอกจากเนื้อหาที่ทำให้ The Thin Blue Line กลายเป็นตำนานแล้ว เทคนิคการนำเสนอของหนังก็เรียกได้เต็มปากว่าปฏิวัติวงการ โดยมอร์ริสใช้วิธีจำลองเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นใหม่ (แถมไม่ได้จำลองให้เหมือนจริงดื้อ ๆ แต่ใช้สไตล์ภาพและการตัดต่อเข้าช่วยอย่างเต็มที่) ประกอบกับดนตรีของ ฟิลิป กลาส และการสัมภาษณ์ที่เผยให้เห็นความขัดแย้งในคำให้การของพยาน ทั้งหมดนี้ทำให้เขาค้นพบความผิดพลาดของคำตัดสินและทำให้หนังประสบความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะหลังจากหนังออกฉายเพียงหนึ่งปี ผู้ต้องหาก็ได้รับการปล่อยตัว

The Two Escobars (2010)

สารคดีสำรวจความเชื่อมโยงระหว่าง อันเดรส เอสโกบาร์ นักฟุตบอลทีมชาติโคลอมเบียผู้โด่งดัง กับ ปาโบล เอสโกบาร์ เจ้าพ่อยาเสพติดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์โคลอมเบีย ที่มีนามสกุลเดียวกันโดยบังเอิญ

ผู้กำกับ เจฟฟ์ และ ไมเคิล ซิมเบอร์ลิสต์ นำเสนอมุมมองที่ไม่เคยมีใครเล่ามาก่อนว่า ตราบาปของประเทศในทศวรรษ 1990 ส่งผลให้ชะตากรรมของชายทั้งสองถูกชักพาให้มาเกี่ยวพันกันได้อย่างไร หนังเจาะลึกเหตุการณ์ที่ปาโบลทุ่มเงินจากการค้ายาเสพติดเข้าสู่วงการฟุตบอลเพื่อฟอกเงินและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ลีกฟุตบอลโคลอมเบียเฟื่องฟูและประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ โดยใช้ภาพเหตุการณ์หายากและการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญ ทั้งอดีตนักฟุตบอล โค้ช นักข่าว และแม้แต่สมาชิกในตระกูลเอสโคบาร์ มาประกอบกันเข้าเพื่อเล่าเรื่องที่ซับซ้อนของประเทศนี้ในช่วงเวลาที่คุกรุ่นและบ้าคลั่ง ทั้งด้วยความรักในกีฬาและความรุนแรงจากสงครามยาเสพติด

จุดที่น่าสนใจที่สุดอยู่ตรงการเชื่อมโยงการเสียชีวิตของทั้งสองคน โดยอันเดรสถูกลอบสังหารหลังจากทำประตูผิดพลาดในฟุตบอลโลกปี 1994 ซึ่งนำไปสู่การตกรอบของทีมชาติโคลอมเบีย ส่วนปาโบลถูกตำรวจยิงเสียชีวิตไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น หนังแสดงให้เราได้เห็นว่า กีฬาฟุตบอลที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของชาติ กลับกลายมาเป็นสนามแห่งความรุนแรงและการแก้แค้นเมื่อมีอาชญากรรมและการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง

Citizenfour (2014)

สารคดีสุดระทึกของ ลอรา พอยทราส ที่ ‘บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขณะกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า’ ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องเริ่มต้นเมื่อเธอและทีมสื่อมวลชนได้รับการติดต่อจากแหล่งข้อมูลผู้ใช้นามแฝงว่า ‘พลเมืองหมายเลขสี่’ ซึ่งต่อมาเปิดเผยตัวว่าเป็น เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เจ้าหน้าที่อดีตหน่วยสืบราชการลับอเมริกัน (NSA) ที่ตัดสินใจเปิดโปงโครงการสอดแนมข้อมูลมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ

สารคดีพาเราเข้าไปอยู่ในห้องโรงแรมที่ฮ่องกงซึ่งสโนว์เดนหนีไปซ่อนตัว ในช่วงเวลา 8 วันสำคัญที่เขาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยพอยทราสใช้กล้องบันทึกรายละเอียดตลอดช่วงนั้นไว้จนหนังเต็มไปด้วยความสดและดิบของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง เราได้เห็นอารมณ์กับความกังวลที่แท้จริงของสโนว์เดนอันเป็นมุมมองที่ไม่มีทางได้เห็นในสื่อกระแสหลัก และเราก็ยังได้เห็นภาวะไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่ชวนลุ้นเพราะแม้แต่พอยทราสเองก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับอะไรต่อไป

Citizenfour ชนะรางวัลออสการ์และกวาดรางวัลสารคดีในปีนั้นมาเกือบหมดทุกเวที แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันได้จุดประกายการถกเถียงไปทั่วโลกเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติและสิทธิส่วนบุคคล จนนำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายและนโยบายการสอดแนมในหลายประเทศ

13th (2016)

ผู้กำกับ เอวา ดูเวอร์เนย์ ทำสารคดีเรื่องนี้ที่ทำให้คนอเมริกันต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันขมขื่นของประวัติศาสตร์ประเทศตัวเอง ชื่อของหนังนำมาจากรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 13 (13th Amendment) ที่ยกเลิกการเป็นทาสในสหรัฐอเมริกา แต่มีข้อยกเว้นสำคัญคือ ยังอนุญาตให้มีการบังคับใช้แรงงานได้สำหรับบุคคลที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญา

ดูเวอร์เนย์ใช้การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ นักกิจกรรม และนักประวัติศาสตร์ ผสมผสานกับภาพเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และข้อมูลกราฟิกเพื่อเจาะลึกว่า ช่องโหว่ทางกฎหมายข้างต้นนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดการกดขี่ทางเชื้อชาติในรูปแบบใหม่ได้อย่างไร หนังเผยให้เราได้เห็นข้อเท็จจริงอันน่าตื่นตะลึงว่า การที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีอัตราการจำคุกประชากรสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะคนผิวดำซึ่งถูกจำคุกในสัดส่วนสูงผิดปกตินั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายที่มีรากฐานมาจากการเหยียดเชื้อชาติและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมเรือนจำเอกชนที่ทำกำไรจากการมีนักโทษจำนวนมาก

13th ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางและกลายเป็นสื่อการศึกษาสำคัญในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงการลุกฮือของขบวนการ Black Lives Matter

  • ดูหนังฉบับเต็มได้ในลิงค์ Youtube ข้างบน

The Dissident (2020)

ผู้กำกับ ไบรอัน โฟเกล เคยคว้ารางวัลออสการ์จากสารคดีสืบสวนเรื่อง Icarus และนำทักษะในการเล่าขุดหาความจริงอย่างน่าตื่นเต้นมาโชว์ให้เห็นกันอีกครั้งในเรื่องนี้ หนังตรวจสอบการลอบสังหาร จามาล คาชูจกิ นักข่าววอชิงตันโพสต์ที่สถานกงสุลซาอุดีอาระเบียในอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อปี 2018 โดยเจาะลึกไปถึงเบื้องหลังว่าทำไมคาชูจกิถึงกลายเป็นเป้าหมาย ด้วยการสัมภาษณ์คนใกล้ชิด เพื่อนนักกิจกรรม และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ก่อนเปิดเผยความจริงว่า การสังหารนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียในการปราบปรามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและนอกประเทศ

ความโดดเด่นของหนังอยู่ตรงการนำเสนอหลักฐานชิ้นสำคัญ รวมถึงบทสนทนาที่ถูกดักฟังระหว่างทีมสังหารขณะกำลังลงมือ, การวิเคราะห์รูปแบบการใช้กลุ่มไอโอให้มาคอยโจมตีคนที่วิจารณ์รัฐบาลบนโซเชียลมีเดีย และการเปิดเผยเทคโนโลยีการสอดแนมขั้นสูง (เพกาซัส) ที่ซาอุดีอาระเบียซื้อมาจากบริษัทอิสราเอล

The Dissident ได้รับคำชมล้นหลามจากนักวิจารณ์ แต่กลับหาผู้จัดจำหน่ายไม่ค่อยได้ เพราะหลายบริษัทไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำให้ซาอุดีอาระเบียไม่พอใจ

Navalny (2022)

สารคดีติดตามชีวิตของ อเล็กเซย์ นาวาลนี นักการเมืองฝ่ายค้านผู้กล้าท้าทายรัฐบาลของ วลาดิมีร์ ปูติน โดยผู้กำกับ แดเนียล โรเฮอร์ บันทึกช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนาวาลนี ตั้งแต่การถูกวางยาพิษในปี 2020 การรักษาตัวในเยอรมนี การสืบสวนหาผู้อยู่เบื้องหลัง ไปจนถึงการตัดสินใจกลับไปเผชิญหน้ากับอำนาจในรัสเซียซึ่งนำไปสู่การจับกุมและคุมขังเขาในที่สุด หนังโดดเด่นตรงการนำเสนอแบบตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็ชวนให้ลุ้นระทึกราวกับหนังสายลับ (โดยเฉพาะฉากที่นาวาลนีโทรศัพท์หลอกล่อให้เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของรัสเซียเปิดเผยรายละเอียดของการวางยาพิษเขาโดยไม่รู้ตัว)

  • ในตอนต่อไป เราจะพูดถึงสิ่งที่คนทำหนังสารคดีเชิงสืบสวนต้องมี และวิธีการทำแบบเจาะลึก

โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี

ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม

Related Articles