
Docufiction : สารคดีผสมเรื่องแต่ง เมื่อชีวิตแสดงเป็นตัวเอง
ตั้งแต่ยุคที่สารคดีเพิ่งเริ่มต้น คนทำหนังก็ไม่เกรงกลัวที่จะนำเรื่องแต่งมาผสมกับข้อเท็จจริงแล้ว ตัวอย่างที่โด่งดังคลาสสิกที่สุดหนีไม่พ้น Nanook of the North (1922) ของ โรเบิร์ต ฟลาเฮอร์ตี้ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงจนถึงทุกวันนี้ว่ามันเป็นสารคดี เป็นการแสดงซ้ำ เป็นการจัดฉาก หรือเป็นทุกอย่างที่ว่ามานี้กันแน่
จุดประสงค์ของฟลาเฮอร์ตี้ในการทำหนังเรื่องนี้คือ การบันทึกวิถีชีวิตของชาวอินูอิตลงบนฟิล์มก่อนที่มันจะสูญหายไป ปัญหาอยู่ตรงทนี่ในทศวรรษ 1920 นั้นชาวอินูอิตปรับตัวตามวิถีของโลกยุคใหม่และหันมาล่าสัตว์ด้วยอุปกรณ์สมัยใหม่กันแล้ว แต่เพื่อจะบันทึกวิถีแบบเก่าให้ “เป็นของแท้” มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฟลาเฮอร์ตี้ก็จำต้องโกง!
เขาให้ชาวอินูอิตมา “แสดงเป็นตัวเอง” ขณะใช้ชีวิตประจำวัน ล่าสัตว์และจับปลา โดยชาวบ้านต้องถอดเสื้อผ้าสมัยใหม่ออกและโยนปืนทิ้ง แล้วสวมชุดแบบดั้งเดิมและใช้ฉมวกแทน ส่วนบ้านแบบอิกลูที่จริง ๆ ก็ไม่มีใครเขาอยู่กันแล้วนั้น ฟลาเฮอร์ตี้ก็สั่งให้สร้างขึ้นใหม่และให้ใหญ่เกินจริงด้วย เพื่อที่จะตัดออกครึ่งหนึ่งให้แสงส่องเข้าถึงและนำกล้องเข้าไปถ่ายข้างในได้
หัวใจของ Docufiction ก็อยู่ที่ความขัดแย้งในตัวเองแบบนี้นี่แหละ มันเป็นหนังที่จับภาพช่วงเวลาจริงขณะที่เรื่องราวนั้น ๆ กำลังเกิดขึ้น แต่ถูกหล่อหลอมด้วยเจตนาและวิธีการทางศิลปะ คนที่เราเห็นในหนังไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แต่เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งของตัวพวกเขาเอง (ซึ่งบางครั้งก็อาจจะถูกดัดแปลงไปจากความจริงนิด ๆ หน่อย ๆ ด้วย) และสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญในหนังนั้นก็อาจเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น (โดยสะท้อนหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ) ด้วยเจตนาของคนทำหนังที่ต้องการ “เปิดเผยความจริงที่ลึกซึ้งกว่าการสังเกตการณ์แบบธรรมดา”
ลองมาดูตัวอย่างที่สองกัน
ตอนที่ ฌอง รูช เดินทางไปไนเจอร์ในปี 1957 เพื่อทำสารคดีเรื่อง Moi, Un Noir นั้น เขาได้พบกลุ่มชายหนุ่มหลายคนที่จำเป็นต้องทิ้งบ้านเกิดและครอบครัวในชนบทมาหาเลี้ยงชีพด้วยงานรับจ้างทั่วไปในเมืองอาบีจาน แต่แทนที่จะถ่ายชีวิตผู้คนเหล่านี้ไปตามที่ได้พบเห็นเฉย ๆ รูชกลับเลือกจะเล่าเรื่องของพวกเขาผ่านกระบวนการสร้างสรรค์แปลกใหม่ ด้วยการเชิญชวนให้พวกเขามาเข้ากล้อง แต่ให้แต่ละคนเรียกตัวเองด้วยชื่อดาราหรือตัวละครฮอลลีวูดดัง ๆ แทน (เช่น เอ็ดเวิร์ด จี โรบินสัน, เอ็ดดี้ คอนสแตนติน, ทาร์ซาน) จากนั้นรูชก็ตามถ่ายพวกเขาทั้งในยามใช้ชีวิตประจำวันจริง ๆ และในยามสวมบทแสดงอย่างสนุกสนาน ผลที่ได้นั้นน่าแปลกมาก เพราะมันกลับยิ่งทำให้เราคนดูสามารถซึมซับ “ความจริงแท้” เบื้องหลังชีวิตของชายหนุ่มเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก
ในปี 1957 ยังมีตัวอย่างโดดเด่นอีกเรื่องหนึ่งคือ On the Bowery ที่ผู้กำกับ ไลโอเนล โรโกซิน ไปสำรวจย่านสลัมอันโด่งดังดังของแมนฮัตตัน เขาคัดเลือกคนไร้บ้าน คนติดเหล้า และคนชายขอบที่นั่นมารับบทเป็นตัวละครหลัก แล้วเขียนบทขึ้นจากเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละคน จากนั้นก็ให้พวกเขามา “แสดง” อีกชั้นหนึ่งเพื่อให้กล้องถ่ายไว้ กลายเป็นสารคดีซ้อนทับเรื่องจริงอันว่าด้วยคนเหล่านี้ขณะใช้ชีวิตว่างเปล่าไปวัน ๆ ทั้งตามท้องถนน ในที่พักราคาถูก และบาร์
ในหนังยาวเรื่องแรกของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล คือ “ดอกฟ้าในมือมาร” (Mysterious Object at Noon, 2000) เป็นบทบันทึกการเดินทางจากภาคเหนือไปภาคอีสานและใต้ โดยตลอดทางเขาได้ชักชวนชาวบ้านที่พบเจอให้ผลัดกันเล่าเรื่องของครูดอกฟ้า เด็กชายพิการ และมนุษย์ต่างดาว เล่าส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ ผลที่ได้คือเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดตามจินตนาการของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น คู่ขนานไปกับภาพวิถีชีวิตจริงของพวกเขา
ตัวอย่างข้างบนนี้เป็นของหนังเรื่อง Rite of Spring (Acto da Primavera, 1963) ซึ่งเริ่มต้นจากการที่ ผู้กำกับ มาโนเอล เดอ โอลิเวียร่า ตั้งใจไปทำสารคดีว่าด้วยประเพณีท้องถิ่นในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Week) ที่ชาวนาจากหมู่บ้าน Curalha จะจัดแสดงเรื่องราวการทรมานของพระคริสต์ใหม่และท่องบทจากศตวรรษที่ 16 ในภาษาถิ่นด้วย แต่ไป ๆ มา ๆ เขากลับตัดสินใจเปลี่ยนวิธีเล่า ด้วยการจัดฉากการแสดงประเพณีนี้ขึ้นเอง แล้วนำมาผสมกับภาพเบื้องหลังของกองถ่ายและฉากจากชีวิตประจำวันของชาวบ้านเข้าไว้ด้วยกัน โดยอธิบายว่า “ผมเลือกจะประนีประนอมระหว่างการเป็นสารคดีและเรื่องแต่ง เพราะมันเป็นวิธีที่ทำให้ผมสามารถแสดงออกถึงพลังของการแสดงและความอบอุ่นของมนุษย์ได้ดีกว่า”
ในปี 2008 มิเกล โกเมซ (ผู้กำกับ Grand Tour) ทำหนังเรื่อง Our Beloved Month of August ซึ่งเริ่มด้วยการเป็นสารคดีที่ไปสังเกตการณ์ในภูมิภาคภูเขาของโปรตุเกส แล้วบันทึกกิจกรรมท้องถิ่น วงดนตรีพื้นบ้าน และประเพณีต่าง ๆ จากนั้นมันก็ค่อย ๆ เลื่อนไหลสู่เรื่องแต่งที่เกี่ยวกับพ่อและลูกสาว จนกระทั่งในตอนจบ เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่เป็นสารคดีและสิ่งที่เป็นเรื่องแต่งก็ซ้อนทับกันจนแยกไม่ออก
ความแตกต่างระหว่าง Docufiction, Docudrama และหนัง Based on True Story
สรุปได้ว่า Docufiction หมายถึงสารคดีที่บันทึกความจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆ โดยใช้วิธีการแบบเรื่องแต่งเข้าไปช่วยเล่า หรือแทรกองค์ประกอบบางส่วนที่เป็นเรื่องแต่ง
ด้วยลักษณะของคำที่เป็นคำผสม ทำให้เรามักจะสับสนกับอีกคำหนึ่งที่หน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่ความหมายไม่เหมือนกันเลย นั่นคือคำว่า “Docudrama” ซึ่งหมายถึง หนังที่นำเหตุการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงและผ่านไปแล้วมาเล่าอีกครั้ง โดยใช้นักแสดงมืออาชีพมารับบทคนที่เคยมีตัวตนอยู่จริง ตามบทที่ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยอ้างอิงบางส่วนหรือจับเอาแก่นสารของคำพูดของตัวจริงมาใช้ และอาจมีการแต่งเติมเพื่อหวังผลทางอารมณ์หรือการเล่าเรื่องด้วย แต่โดยรวม ๆ มักหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งและพยายามยึดติดกับข้อเท็จจริงเป็นหลัก
อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยต่อไปอีกว่า Docudrama ก็เหมือนกับหนังประเภทที่เรียกตัวเองว่า “Based on True Story – สร้างจากเรื่องจริง / อิงจากเหตุการณ์จริง” ใช่ไหม? ซึ่งคำตอบคือ ไม่ใช่
แม้จะเป็นการนำเรื่องจริงมาทำเป็นหนังเหมือนกัน แต่หนังสองกลุ่มนี้แตกต่างกันมากตรงที่ Docudrama นำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาแสดงซ้ำให้เราได้เห็น โดยให้ความสำคัญแก่ความซื่อสัตย์ต่อประวัติศาสตร์ (แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะตีความประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้องไปหมด และบางทีก็อาจจะมีการเพิ่มเติมเรื่องราวหรือรายละเอียดเข้าไปบ้างเพื่อเพิ่มอารมณ์ ดราม่า ชีวิตชีวาให้กับหนัง) ขณะที่คำว่า Based on True Story นั้นใช้กับหนังที่เล่าประวัติศาสตร์อย่างหลวม ๆ มีการใช้อิสระทางศิลปะในการตีความเรื่องราวมากกว่า อาจมีการแต่งเติมเรื่องหรือเพิ่มตัวละครต่าง ๆ เข้าไปอีกมากเพื่อผลทางการเล่าเรื่อง
เรามาดูตัวอย่างของเหตุการณ์จริงอย่างที่เคยถูกนำมาถ่ายทอดเป็นทั้งสารคดี (Documentary), Docufiction, Docudrama และหนัง Based on True Story มาแล้ว เพื่อให้มองเห็นความคล้ายและความต่างของแต่ละแนวทางชัดเจนขึ้น
Turning Point: 9/11 and the War on Terror (2021)
ซีรีส์สารคดีจาก Netflix กำกับโดย ไบรอัน แนพเพนเบอร์เกอร์ แบ่งเป็น 5 ตอน โดยนำเสนอเรื่องราวของเหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 และผลกระทบอันยาวนานหลายทศวรรษหลังจากนั้น
ตัวสารคดีครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งการบุกอัฟกานิสถานและอิรักของสหรัฐฯ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย เรื่องราวของอ่าวกวนตานาโม การสอดแนมของรัฐบาล ไปจนถึงการล่มสลายของกรุงคาบูลในปี 2021 หลังจากสหรัฐฯ ถอนกำลังจากอัฟกานิสถาน ด้วยการนำเสนอมุมมองที่หลากหลายผ่านบทสัมภาษณ์กับอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ พลเมืองอัฟกัน ทหาร และนักข่าว ทำให้เป็นหนึ่งในสารคดีที่ครอบคลุมที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และผลกระทบระยะยาวทั่วโลก
The Road to Guantanamo (2006)
ในผลงานกำกับของ ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม และ แม็ตต์ ไวท์ครอสส์ เรื่องนี้ หยิบเอามุมเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 มานำเสนอ คือเรื่องของ “The Tipton Three” หรือกลุ่มชายมุสลิมชาวอังกฤษสามคนที่เดินทางไปปากีสถานเพื่อร่วมงานแต่งงาน แต่กลับถูกจับโดยกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และถูกกักขังที่อ่าวกวนตานาโมเป็นเวลากว่าสองปี
เหตุผลที่ทำให้ The Road to Guantanamo มีความเป็น Docufiction ก็คือ หนังใช้วิธีการของสารคดีเป็นองค์ประกอบสำคัญ ทั้งการสัมภาษณ์ซับเจ็กต์ตัวจริง การใช้ภาพข่าวและใช้ฟุตเทจจากเหตุการณ์จริง แต่ขณะเดียวกันมีการจำลองเหตุการณ์หลายส่วนขึ้นใหม่โดยใช้นักแสดง และเขียนบทให้ฉากเหล่านั้นมีประโยชน์ในการเพิ่มความเป็นดราม่าแก่เรื่อง (โดยเฉพาะเหตุการณ์การสอบปากคำ การถูกทรมาน และสภาพการกักขัง)
United 93 (2006)
อีกมุมของเรื่องราวชุดเดียวกันปรากฏในหนังเรื่องนี้ของ พอล กรีนกราสส์ ซึ่งจำลองเหตุการณ์ของเที่ยวบิน United 93 (เครื่องบินที่ถูกจี้ลำที่สี่ในวันที่ 11 กันยายน 2001) โดยเน้นเรื่องราวของผู้โดยสารซึ่งรวมตัวกันต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย จนทำให้เครื่องบินตกที่เพนซิลเวเนียแทนที่จะไปถึงเป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายตั้งใจไว้
United 93 จัดเป็นหนัง Docudrama เพราะเป็นการนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วมาเล่าใหม่ โดยไม่มีการใช้องค์ประกอบของหนังสารคดีเข้ามาปะปน (เช่น ไม่มีการสัมภาษณ์บุคคลที่มีตัวตนจริง) แต่ขณะเดียวกันมันก็พยายามรักษาความสมจริงของเหตุการณ์ไว้ให้มากที่สุด ทั้งด้วยการเขียนบทโดยอิงจากข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ การถ่ายด้วยกล้องแบบแฮนด์เฮลด์ ใช้แสงธรรมชาติ การเล่าเรื่องแบบเรียลไทม์ การใช้นักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จัก และยังมีการใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศตัวจริงมาร่วมแสดงด้วย
World Trade Center (2006)
ผลงานกำกับของ โอลิเวอร์ สโตน นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ อิงจากเรื่องจริงของ จอห์น แมคลาฟลิน และ วิล จิเมโน ตำรวจสองนายที่ติดอยู่ใต้ซากตึกแฝดเวิลด์เทรดหลังเหตุโจมตี
จุดเด่นของหนังอยู่ตรงการพยายามเล่าให้ใกล้เคียงเรื่องจริงมากที่สุด โดยได้ผู้รอดชีวิตตัวจริงและครอบครัวของพวกเขามาเป็นที่ปรึกษาของสโตนตลอดการเขียนบทและถ่ายทำด้วย นอกจากนั้นยังมีการใช้เจ้าหน้าที่ตัวจริงมาร่วมแสดง และมีการสร้างฉากกราวด์ซีโร่กับการพังทลายของตึกอย่างพิถีพิถัน
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้อาจถูกจัดเป็น Based on True Story (ไม่ใช่ Docudrama) เพราะตัวหนังไม่ได้มุ่งเน้นนำเสนอเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในภาพกว้าง แต่เน้นไปที่ดราม่าส่วนบุคคลของตำรวจทั้งสองนาย แถมตัวโครงสร้างของบทและวิธีการเล่าก็ใช้เทคนิคแบบหนังฮอลลีวู้ด ทั้งการเขียนบทให้เป็นเรื่องของ “ตัวเอกที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรค”, มีการใช้ดนตรีที่ยกระดับอารมณ์ และการถ่ายภาพที่ขับเน้นดรามาติก (ซึ่งต่างจาก United 93 ที่ใช้กล้องแฮนด์เฮลด์และดำเนินเรื่องแบบเรียลไทม์)
ทั้งหมดข้างต้นแสดงให้เห็นถึงเส้นแบ่งอันบางเฉียบของหนังที่นำเสนอเหตุการณ์จริงในรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งประเด็นสำคัญคือเราไม่ควรลืมว่า นิยามเหล่านี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อจะตีกรอบความคิดสร้างสรรค์หรือเพื่อการจัดประเภทหนังอย่างแข็งทื่อตายตัว แต่มีเพื่อให้เรามองเห็นความเป็นไปได้อันหลากหลายของการเล่าเรื่องนั่นเอง
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
Documentary Club is a group of film lovers dedicated to creating diverse spaces in Thailand for alternative films, especially documentaries. We do this by distributing films through various channels, organizing film screenings, hosting film festivals, and arranging discussion forums, in collaboration with partners from both the film industry and social sectors across the country.
Movies Matter Co.,Ltd.
Bangkok, Thailand