documentary 101

ตอนที่ 8 : ทำสารคดีเล่าเรื่องมนุษย์อย่างไร จึงจะมี ‘จริยธรรม’

amy

ช่วงนี้คำว่า Human Zoo กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง บทความชิ้นนี้เลยขอหยิบประเด็นนี้มาขยายความ เพราะ "การทำให้คนในหนังกลายเป็นวัตถุที่ถูกจ้องมองเพื่อความบันเทิง" นี่แหละที่เป็นหนึ่งในหัวข้อถกเถียงของคนทำหนังสารคดีมาตลอด

เรารู้กันอยู่แล้วว่า หนังสารคดีเป็นสื่อที่มีพลังอำนาจมาก ๆ ในการถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มคนที่กำลังเผชิญความยากลำบาก ถูกกดขี่กีดกัน หรือต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมในสังคม สารคดีสามารถทำให้เรื่องราวของ ‘คนที่ไม่เคยมีใครมองเห็น ไม่มีใครเคยสนใจฟัง’ กลายเป็นถูกมองเห็นและถูกได้ยินจากคนส่วนใหญ่ได้ แต่พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง คนทำสารคดีจะทำอย่างไรไม่ให้การถ่ายทอดเรื่องของผู้คนที่ตนเห็นอกเห็นใจนั้น กลายเป็นการใช้ประโยชน์ (exploit) จากพวกเขา หรือทำให้พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูกคนดูจ้องมองด้วยความเวทนาสงสาร เป็นเพียงคนไร้อำนาจและเป็นแค่ ‘เหยื่อ’ อยู่ตลอดเวลา?

ปัญหาแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับหนังสารคดีได้สูงมากโดยที่คนทำอาจไม่ทันรู้ตัวหรือไม่มีเจตนาเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุผลที่ในแวดวงสารคดีมีการพูดคุยเรื่อง ‘การทำหนังสารคดีอย่างมีจริยธรรม’ (Ethical Documentary Making) กันบ่อย ๆ และยังต้องอัพเดทความรู้กันต่อไปอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากขอบเขตทัศนคติและความเท่าทันของตัวเราและสังคมโลกย่อมเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สารคดีที่เล่าเรื่องความยากจนของผู้คนโดยย้ำภาพความทุกข์ทรมานของพวกเขาแบบไม่ให้บริบท หรือแสดงภาพชีวิตของชาวบ้าน-ชนพื้นเมืองโดยเน้นการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมทั่วไปนั้นอาจเคยเป็นเรื่องธรรมดาในยุคสมัยหนึ่ง แต่ในยุคนี้ก็อาจถูกมองว่าเป็นสารคดีประเภท poverty porn (เอาความยากจนมาเร้าอารมณ์คนดู) หรือ human zoo (ให้คนดูได้จ้องมองมนุษย์คนอื่นอย่างตื่นตาตื่นใจ ราวกับกำลังจ้องมองสัตว์ในสวนสัตว์) ไปแทน

Africa Addio (1966) : เป็นสารคดีอิตาลี กำกับโดย กวัลติเอโร จาโคเปตติ กับ ฟรังโก พรอสเปรี นำเสนอภาพความรุนแรงและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นสุดของการปกครองแบบอาณานิคมในประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา หนังประสบความสำเร็จมาก ๆ เมื่อออกฉายและทรงอิทธิพลสูงต่อวงการสารคดี แต่ขณะเดียวกันมันก็จุดประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางจริยธรรมของคนทำสารคดี และการนำเสนอสังคมหลังยุคอาณานิคมในสื่อ เนื่องจากหนังเต็มไปด้วยภาพความรุนแรงอย่างเปิดเผยและอคติทางเชื้อชาติ จนถูกวิจารณ์ว่าเป็นการฉวยโอกาสจากความทุกข์ทรมานของชาวแอฟริกัน และส่งเสริมมุมมองแบบยุโรปเป็นศูนย์กลางที่แสดงภาพชาวแอฟริกันเป็นคนป่าเถื่อน

อะไรบ้างคือหัวใจสำคัญของการสร้างสารคดีอย่างมีจริยธรรม

หลักการโดยทั่วไปได้แก่

1. เคารพในการตัดสินใจและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

คนทำสารคดีต้องมองผู้ที่ถูกถ่าย (subject) ว่าเป็นคนที่รู้เรื่องราวในชีวิตของเขาเองมากกว่าใคร เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในประสบการณ์ชีวิตของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นแค่ ‘กรณีศึกษา’ หรือ ‘ตัวอย่างของความทุกข์ยาก’ เท่านั้น

2. ขอความยินยอมอย่างรอบด้าน และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง

ต้องแน่ใจเสมอว่าสิ่งที่เราถ่ายและบอกเล่านั้นได้รับความยินยอม (consent) จากตัวเจ้าของเรื่องแล้ว และความยินยอมดังกล่าวก็ต้องเกิดขึ้นโดยที่เขาเข้าใจและสมัครใจจริง ๆ เท่านั้น รวมทั้งต้องมีการทบทวนตรวจสอบเสมอหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ว่าเขายังยินยอมอย่างเต็มใจจริงหรือเปล่า

3. หลีกเลี่ยงภาพเหมารวมและการเล่าเรื่องแบบ ‘ผู้มาโปรด’

การนำเสนอของสารคดีต้องไม่ติดอยู่ในกับดักของการมองคนในหนังเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกกระทำ หรือมองบุคคลอื่นที่มาจากภายนอกเพื่อช่วยเหลือ (ซึ่งรวมตัวคนทำหนังเอง) ว่าเป็นเทวดาผู้มาโปรด รวมทั้งต้องระวังไม่ไปลดทอนให้เรื่องราวชีวิตหรือการต่อสู้ของซับเจ็กต์กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย สามารถสรุปบทเรียนเป็นคติสอนใจได้โดยง่าย หรือประเคนดราม่าใส่จนฟูมฟายเกินจริง

4. ลดความเสี่ยงและอันตราย

คนทำสารคดีต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และสุขภาพจิตของซับเจ็กต์เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะหากเขาอยู่ในกลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่อาจได้รับความเสี่ยงใด ๆ จากการเข้าร่วมในสารคดีของเรา

5. มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

คนทำสารคดีควรทำงานอย่างโปร่งใสด้วยการเปิดเผยเจตนาของการทำหนังให้คนในหนังได้รู้ตั้งแต่ต้น ระหว่างทำควรหมั่นอธิบายการตัดสินใจหรือการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกี่ยวกับแง่มุมสร้างสรรค์ของหนังให้พวกเขารับรู้ และเมื่อหนังตัดต่อเสร็จพร้อมเผยแพร่ก็ควรให้พวกเขาได้ดูหนังก่อนด้วย การทำสารคดีที่จะก่อประโยชน์ให้แก่ซับเจ็กต์ได้จริง ๆ และส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงได้จริงนั้นควรต้องมีกระบวนการที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงต่อทั้งคนในหนังและคนดูเสมอ

The Bridge (2006) : ในปี 2004 อีริก สตีล บันทึกภาพสะพานโกลเดนเกตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อถ่ายการฆ่าตัวตาย (โดยการกระโดดสะพานดังกล่าว) ทุกครั้งที่เกิดขึ้น เขาได้ฟุตเทจดิบกว่า 5,000 ชั่วโมงและบันทึกการฆ่าตัวตายได้ 23 ครั้ง แม้หนังเรื่องนี้จะได้รับคำชมว่าช่วยทำให้ประเด็นที่อ่อนไหวนี้เป็นที่สนใจในวงกว้าง แต่กระบวนการทำหนังเองก็ถูกตั้งคำถามมากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้กำกับปกปิดจุดประสงค์ในการทำงาน (เขาขออนุญาตถ่ายทำจาก Golden Gate National Recreation Area โดยอ้างว่าจะทำหนังเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างของมนุษย์และธรรมชาติ ต่อมาสตีลให้สัมภาษณ์ว่าจำเป็นต้องปกปิด มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้รับการอนุมัติให้ถ่ายทำ) และการปล่อยให้การฆ่าตัวตายบนสะพานเกิดขึ้นโดยไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือ (แต่ทีมงานปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยอ้างว่าพวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่สะพานทุกครั้งที่มีคนแสดงสัญญาณว่าจะฆ่าตัวตายและมีเวลาเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขากระโดด)

วิธีการที่จะช่วยให้การทำสารคดีไม่กลายเป็นการแสวงหาประโยชน์จากคนที่ถูกถ่าย

1. ปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกถ่ายในฐานะ ‘หุ้นส่วน’ หรือ ‘ผู้ร่วมเล่าเรื่อง’ ไม่ใช่แค่ ‘อุปกรณ์ประกอบฉาก’

คนทำสารคดีควรมองผู้ถูกถ่ายว่าเป็นคนที่จะร่วมกับเราในการบอกเล่าความจริงผ่านหนัง ไม่ใช่คนอ่อนแอหรือคนที่ตัดสินใจเองไม่ได้จนคนทำหนังสามารถปั้นได้ตามใจชอบ ทั้งสองฝ่ายควรสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความไว้วางใจกันตั้งแต่ต้น ใช้เวลาทำความรู้จักอย่างจริงจัง ฟังอย่างไม่มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น และทำให้แน่ใจว่าการพูดคุยกันเป็นไปตามความต้องการและความสบายใจของซับเจ็กต์

วิธีการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ คือ

  • ให้ผู้ที่ถูกถ่ายมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์ของตัวหนัง โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความอ่อนไหว
  • ให้พวกเขาได้เล่าเรื่องของตนด้วยตัวเอง
  • คนทำหนังควรเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อผู้ถูกถ่าย จากความสงสารเป็นความเข้าอกเข้าใจ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีพลัง ความเข้มแข็ง ความซับซ้อน รวมถึงมองให้เห็นความฝัน ความสามารถ บทบาทของพวกเขาในชุมชน และปัจจัยใหญ่ ๆ ที่หล่อหลอมชีวิตของพวกเขาด้วย
  • พยายามเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูรับรู้ได้ถึงความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์ของผู้ถูกถ่าย
  • ในกรณีที่ต้องมีคนให้ข้อมูลหรือเสียงบรรยาย อาจใช้คนในชุมชน ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักเคลื่อนไหวในท้องถิ่น แทนที่จะใช้คนดังหรือผู้รู้จากภายนอกเพียงอย่างเดียว
  • ให้โอกาสผู้ที่ถูกถ่ายได้ดูฟุตเทจหรือการฉายก่อนเผยแพร่ จะได้พูดคุยกันหากเขาเกิดความไม่สบายใจ หรือตัวหนังมีการนำเสนอที่ผิดพลาด

Amy (2015) : เจ้าของรางวัลออสการ์สารคดียอดเยี่ยม กำกับโดย อาซิฟ คาปาเดีย ซึ่งรวบรวมบทสัมภาษณ์กว่า 100 ชิ้นและฟุตเทจต้นฉบับจำนวนมากของ เอมี่ ไวน์เฮาส์ มาตัดต่อร้อยเรื่องเข้าด้วยกันโดยไม่มีเสียงบรรยายภายนอกหรือการสัมภาษณ์ใครเพิ่มเติมเลย ตัวหนังได้รับคำชมว่าใช้คลังข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความเป็นธรรมให้แก่ตัวเอมี่ ทำให้โลกมองเห็นเธอในมุมใหม่โดยเฉพาะในเรื่องที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดเอง (เนื่องจากเธอเสียชีวิตไปแล้ว) อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนังก็ถูกโจมตีและตั้งคำถามเชิงจริยธรรมไม่น้อย ทั้งจากการที่ให้ภาพเอมี่เป็น ‘เหยื่อ’ มากเกินไป, กล่าวโทษพ่อของเธอ (มิตช์ ไวน์เฮาส์) มากเกินไป (ว่าเป็นตัวต้นเหตุแห่งความล่มสลายในชีวิตของเธอ) และ เร็ก ทราวิส อดีตแฟนหนุ่มของเธอก็แสดงความไม่พอใจว่าหนังนำเสนอภาพชีวิตช่วงสุดท้ายของเอมี่ผิดจากความจริงมาก ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นความเสี่ยงของคนทำหนังสารคดี ที่ต่อให้มีวัตถุดิบเป็นของจริงทั้งหมด แต่กระบวนการคัดเลือก การจัดลำดับ และการตัดต่อก็สามารถสร้างการตีความที่แตกต่างและสร้างชุดความจริงที่ขัดแย้งกับคนอื่น ๆ ได้

2. ให้ความสำคัญกับการขอความยินยอม ตั้งแต่ต้นจนจบ

การมีเอกสารให้ผู้ที่ถูกถ่ายเซ็นแสดงความยินยอมให้หนังติดตามและใช้ฟุตเทจที่เกี่ยวข้องกับเขาได้นั้น เป็นขั้นตอนสำคัญที่คนทำสารคดีไม่ควรมองข้าม ยิ่งหากเรื่องราวที่เล่าหรือตัวซับเจ็กต์เองมีความอ่อนไหว คนทำยิ่งควรระมัดระวังอย่างละเอียดรอบคอบ ควรสื่อสารขอความยินยอมที่ชัดเจนและต่อเนื่องในทุกขั้นตอน (ไม่ใช่เซ็นทีเดียวแล้วจบไป) เพื่อให้แน่ใจว่าซับเจ็กต์เข้าใจชัดเจนทั้งวัตถุประสงค์ ขอบเขต ความเสี่ยง และแผนการเผยแพร่สารคดี

  • คุยกันตั้งแต่ต้นว่า ซับเจ็กต์อยากเห็นตัวเองถูกนำเสนอในลักษณะไหน เขาอาจได้รับความเสี่ยงอะไรบ้างจากการเข้าร่วมกับหนังเรื่องนี้ และให้สิทธิเขาที่จะถอนตัวหรือแก้ไขความยินยอมภายหลังได้
  • สำหรับซับเจ็กต์ที่อาจมีอำนาจจำกัดในการตัดสินใจ (เช่น ยังเป็นเด็ก, เป็นคนป่วย, เป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรง ฯลฯ) คนทำหนังจะต้องรอบคอบมากเป็นพิเศษว่าจะป้องกันพวกเขาอย่างไรไม่ให้ได้รับผลกระทบต่อชีวิตในปัจจุบันและอนาคต จากการมาปรากฏตัวในสารคดี

Searching for Sugarman (2012) : เจ้าของรางวัลออสการ์สารคดียอดเยี่ยมที่ได้รับคำชมว่าทรงพลังทางอารมณ์มาก แต่ขณะเดียวกันกระบวนการทำหนังเองก็สร้างการถกเถียง  โดยหนังว่าด้วย ซิซโต โรดริเกซ นักร้องนักแต่งเพลงเชื้อสายเม็กซิกัน-อเมริกันที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักในอเมริกา และเชื่อกันว่าเขาฆ่าตัวตายไปโดยไม่เคยรู้เลยว่าตนเองโด่งดังเป็นตำนานในแอฟริกาใต้ ผู้กำกับ มาลิก เบนเจลลูล เลือกเล่าเรื่องนี้ผ่านมุมมองของแฟนเพลงชาวแอฟริกาใต้สองคนที่พยายามค้นหาว่า การฆ่าตัวตายของศิลปินผู้นี้เป็นแค่ตำนานหรือไม่ ก่อนจะต้องประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าฮีโร่ของพวกเขาจากยุค 70 ยังมีชีวิตอยู่ …แน่นอนว่าบทสรุปนี้ย่อมทำให้ทั้งคนในหนังและคนดูประทับใจอย่างยิ่ง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่จริง ๆ แล้วทั้งเบนเจลลูลและทีมงานรู้อยู่แล้วว่าโรดริเกซยังไม่ตาย ซึ่งแสดงว่าสิ่งที่เราได้เห็นในหนังนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เป็นการทำเพื่อหวังผลทางดราม่าโดยขาดความซื่อตรงต่อทั้งซับเจ็กต์และคนดู

3. หลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องแบบดึงดราม่าเร้าอารมณ์หรือตีฟูเกินจริง

แม้หลายครั้งคนทำหนังสารคดีจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเพิ่มดราม่าให้กับเรื่องที่เล่า เพื่อให้หนังสามารถสั่นสะเทือนความรู้สึกของคนดูได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ควรระวังคือ อย่าให้การกระทำนั้นกลายเป็นการบิดเบือนความจริง สร้างดราม่าล้นเกิน หรือขยายประเด็นเกินจริงไปไกล (ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเกิดได้ทั้งจากการตัดต่อ การใช้ดนตรี การชี้นำให้ซับเจ็กต์พูด ฯลฯ) จนอาจทำให้ผู้ชมเกิดบทสรุปหรือความเข้าใจที่ง่ายและตื้นเขินเกินไป  กลายเป็นการลดทอนความซับซ้อนของบุคคลและเรื่องราวนั้น ๆ

สิ่งที่คนทำสารคดีควรทำ มีอาทิ

  • ไม่ละทิ้งบริบทของเรื่องที่เล่า เช่น เมื่อจะถ่ายทอดความลำบากของผู้ยากไร้ ก็เลี่ยงที่จะนำเสนอว่ามันเป็นเพียงปัญหาและความล้มเหลวส่วนบุคคล แต่ให้ความสำคัญกับการสำรวจตรวจสอบประเด็นเชิงระบบและโครงสร้างที่เป็นสาเหตุรากเหง้าของปัญหาที่คนคนนั้นเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ทั้งประเด็นความอยุติธรรม นโยบายรัฐ ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ เพื่อให้คนดูมองเห็นสภาพความจริงที่กว้างขึ้นและลึกลง ไม่ได้เห็นแต่ภาพความทุกข์ยากเฉพาะหน้ามิติเดียว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาพหรือเล่าเรื่องราวที่ ‘ตอบสนองความสอดรู้สอดเห็น’ ของผู้คน เช่น ภาพที่ชวนช็อกหรือขยี้จุดสะเทือนอารมณ์เกินความจำเป็น เพราะมันอาจกลายเป็นการสร้างความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ ทำให้คนดูเกิดความชินชา และเป็นการสร้างความบันเทิงทางอารมณ์โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ถูกถ่าย

ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ไม่ง่าย แต่สำคัญจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คนทำสารคดีต้องหมั่นตรวจสอบการทำงานของตนอยู่ตลอดเวลา เพราะดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า สารคดีนั้นมีอำนาจในการถ่ายทอดชีวิตของคนอื่นและกำหนดว่าคนดูหรือสังคมจะได้รับรู้เรื่องราวของคนเหล่านั้นอย่างไร หากคนทำสารคดีมีความละเอียดอ่อน มีความเคารพคนอื่น เต็มใจจะมอบอำนาจการเล่าเรื่องให้แก่ผู้ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราว และกล้าที่จะท้าทายคนดูให้เปิดรับประเด็นที่ซับซ้อน ผลงานที่ได้ก็จะสามารถสะท้อนประสบการณ์ของมนุษย์ได้อย่างมีหัวจิตหัวใจ ทำให้มนุษย์ในหนังไม่ได้เป็นเพียงสิ่งน่าดูน่ามอง แต่เป็นเจ้าของเรื่องราวที่คู่ควรกับความสนใจและความเข้าใจอย่างแท้จริง

โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี

ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม

Related Articles