ตอนที่ 14 : ใช้ AI ในสารคดีได้ไหม ได้แค่ไหน – มองในมุมกฎหมาย กรณีศึกษาสหรัฐอเมริกา

การพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาถึงจุดที่เราใช้มันสร้างภาพเคลื่อนไหวซึ่งดูเนียนเข้าใกล้ฟุตเตจถ่ายผู้คนจริงเข้าไปทุกที จนไม่แปลกที่มันถูกมองว่าจะเป็นทางออกของการทำหนังในอนาคตอันใกล้ แต่อีกด้าน เราก็เห็นการถกเถียงกันอย่างดุเดือดถึงจริยธรรมในการใช้ AI ในหนัง ซึ่งแน่นอนว่า นี่จะเป็นประเด็นที่ยิ่งซับซ้อนยุ่งยากขึ้นไปอีก หากเราหมายถึงหนังสารคดี

ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างยังฝุ่นตลบ ไม่มีความชัดเจนว่าตกลงคนทำหนังสารคดีสามารถสร้างฟุตเตจด้วย AI ได้ไหม จะโดนใครฟ้องไหม จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า สองนักกฎหมายคือ เดล เนลสัน กับ วิกตอเรีย โรซาเลส จากสำนักงานกฎหมาย Donaldson Callif Perez LLP ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับงานสร้างสรรค์โดยเฉพาะ ก็เขียนบทความ Legal FAQ: AI Tips for U.S. Documentary Filmmakers ขึ้นมาเป็นคู่มือแนะแนวเบื้องต้น ซึ่งแม้จะเป็นบริบทของวงการสารคดีอเมริกัน แต่เราคิดว่ามันเป็นหลักการที่น่าศึกษาดี จึงขอสรุป “3 เรื่องที่คนทำสารคดีควรคำนึงถึงในการใช้ AI” มาเล่าต่อ ดังนี้

1. ถ้าใช้ Generative AI (หมายถึง AI ที่ใช้ชุดข้อมูลที่มีอยู่ มาสร้างภาพใหม่ขึ้น) ก็ให้เลือกใช้โมเดลตัวที่เทรนด้วยต้นฉบับที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถกเถียงกันวุ่นวายที่สุดก็ว่าได้ ที่ผ่านมา บริษัทผู้พัฒนา AI ด้านการสร้างภาพหรือวิดีโอ เช่น OpenAI, Midjourney, DeviantArt ถูกฟ้องหลายคดี เพราะเจ้าของลิขสิทธิ์อ้างว่าบริษัทพวกนี้นำผลงานของพวกเขาไปใช้เทรนโมเดลของตน โดยไม่ขออนุญาตหรือจ่ายค่าตอบแทนเลย (ตัวอย่างที่เราเห็นชัด ๆ ก็คือ การนำภาพจากแอนิเมชั่นจิบลิมาเทรน แล้วให้ผู้ใช้อย่างเราเข้าไปสร้างภาพใหม่ในสไตล์จิบลิได้เอง ซึ่งทำให้เจ้าของผลงานอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ ต้องออกมาแสดงความน้อยใจและไม่พอใจมาแล้ว) แต่บริษัทเหล่านี้ก็โต้แย้งว่า พวกเขามีสิทธิ์ใช้ภายใต้การคุ้มครองของหลัก fair use แถมล่าสุด ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเพิ่งแสดงทัศนะว่า บริษัทผู้พัฒนา AI ไม่ควรต้องมาเสียค่าลิขสิทธิ์ยุบยิบมากมาย เพราะจะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าเชื่องช้าสิ้นเปลืองจนแข่งขันกับจีนไม่ได้ ขณะที่ศาลในสหรัฐฯ ก็ยังไม่มีคำตัดสินในเรื่องนี้ชัดเจน

ในภาวะที่ทุกอย่างยังคลุมเครืออยู่นี้ คนทำสารคดีจึงควรเลือกใช้โมเดล AI ที่ฝึกด้วยเนื้อหาที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องwxก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะมาเรียกร้องสิทธิ์ในภายหลัง

2. ถ้าในหนังมีส่วนที่สร้างด้วย AI คนทำหนังต้องรู้ไว้ว่า ส่วนนั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์

ในกฎหมายลิขสิทธิ์ (Copyright Act) ของสหรัฐฯ ระบุไว้ว่า งานที่จะจดลิขสิทธิ์ได้ ต้องมี “ผู้สร้างที่เป็นมนุษย์” ดังนั้น หากในสารคดีมีทั้งส่วนที่เป็นฟุตเตจจริงที่ตัวคนทำหนังถ่ายของจริงมา และส่วนที่ใช้ AI สร้างขึ้น ตามกฎหมายนี้ก็จะถือว่า

  • ตอนไปขอจดลิขสิทธิ์ คนหนังต้องระบุให้ชัดเจนว่าส่วนไหนในหนังมีที่มาอย่างไร และเมื่อจดเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะเป็นเจ้าของสิทธิ์ในตัวหนังทั้งเรื่อง หากใครจะนำหนังไปใช้งานก็ต้องขออนุญาตก่อน
  • แต่หากมีใครตัดเฉพาะส่วนที่สร้างด้วย AI เท่านั้นไปใช้ คนทำหนังจะฟ้องร้องเอาผิดด้านลิขสิทธิ์ได้ยากมาก (หรือไม่ได้เลย) เพราะกฎหมายคุ้มครองเฉพาะ “ส่วนที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์” (หมายถึงมนุษย์ลงทุนลงแรงสร้างมัน ไม่ใช่แค่เขียน prompt)
  • ต่อให้คนทำหนังเป็นเจ้าของโมเดล AI เอง กฎหมายก็ไม่คุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับส่วนที่ใช้ AI ทำนั้นเช่นกัน

ภาพเจ้าปัญหาจากสารคดีเน็ทฟลิกซ์เรื่อง What Jennifer Did (เรื่องของหญิงสาวที่จ้างสังหารพ่อแม่ตัวเอง) ที่คนดูจับโป๊ะได้ว่าใช้ AI สร้าง โดยดูจากความผิดเพี้ยนของมือทั้งสองข้าง แต่ทีมคนทำหนังปฏิเสธและยืนยันว่าเป็นภาพจริงแม้จะค้านสายตาสังคมแบบสุด ๆ หนังเรื่องนี้ยังไม่ไปถึงขั้นฟ้องร้อง แต่ก็ตกเป็นเป้าการวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การใช้ AI สร้างภาพซับเจ็กต์โดยจงใจให้คนดูหลงเชื่อว่าเป็นภาพจริงนั้นเป็นสิ่งที่หนังสารคดีไม่ควรทำอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อซับเจ็กต์ยังมีชีวิตอยู่และไม่สามารถโต้แย้งได้เลย (เพราะเธอยังอยู่ในเรือนจำ)

3. ใช้ AI จำลองภาพบุคคลที่มีตัวตนจริงได้ไหม : ขึ้นอยู่กับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การเซ็ตฉากเพื่อสร้างเหตุการณ์และบุคคลในอดีตขึ้นใหม่ (reenactments) เป็นเทคนิคเล่าเรื่องที่สารคดีใช้กันมานาน แต่เมื่อ AI พัฒนาขึ้น ย่อมทำให้หลายคนเริ่มสนใจการใช้ AI ช่วยสร้างภาพเหล่านั้นแทนเพราะทั้งประหยัดและสะดวกกว่ามาก

สิ่งนี้จะเหมาะสมหรือไม่อย่างไรในด้านจริยธรรมสำหรับคนทำหนังสารคดีนั้น เป็นประเด็นที่ยังมีการถกเถียงกันกว้างขวาง ขณะที่ในด้านกฎหมาย แม้คำตอบจะคือ “ส่วนใหญ่แล้วทำได้” แต่ก็ยังมีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและต้องนึกถึงอยู่ด้วย เช่น กฎหมาย “สิทธิในการเผยแพร่ภาพลักษณ์” (right of publicity) ซึ่งหลาย ๆ รัฐในสหรัฐฯ ยังพัฒนากันอยู่ โดยกฎหมายเหล่านี้อาจจะจำกัดการใช้ภาพ เสียง หรือบุคลิกลักษณะของบุคคลจริง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า นอกจากนั้น ในสหรัฐฯ ยังมีกฎระเบียบขององค์กรวิชาชีพ เช่น สมาคมนักแสดง (SAG-AFTRA) ที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำหนังต้องศึกษาเช่นกันเพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐฯ มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงออก (First Amendment) อยู่ด้วย กฎหมายของบางรัฐ (เช่น แคลิฟอร์เนีย) จึงอนุญาตให้คนทำหนังสร้างภาพจำลองบุคคลแบบดิจิทัลได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าตัว หากเป็นกรณีที่เป็นประโยชน์สาธารณะ หรือมีวัตถุประสงค์ในการแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ งานวิชาการ เสียดสี หรือเมื่อใช้เป็นคลิปแค่สั้น ๆ หรือใช้เพื่อเป็นตัวแทนของบุคคลนั้น กรณีที่บุคคลนั้นปรากฏตัวเป็นตัวเองในสารคดี หรือใช้โดยปรุงแต่งให้ภาพมีลักษณะสมมติปนอยู่บ้าง ไม่จงใจให้คนดูเข้าใจผิดว่าเป็นภาพตัวจริง เป็นต้น

ส่วนในบริบทของประเทศไทย ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงร่างหลักการกฎหมายการใช้ AI จึงยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน แต่ในไทยก็มีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งคนทำสารคดีควรศึกษาทำความเข้าใจเช่นกัน

โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี

ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม

documentary 101