เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา วงการสารคดีสูญเสียคนทำหนังแสนสำคัญอย่าง โจล เดม็อตต์ (Joel DeMott) ที่ไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าไหร่ อาจเพราะชื่อของเธอไม่เป็นที่คุ้นเคยในปัจจุบัน และงานของเธอก็เป็นงานหาดูยาก แต่เธอผู้นี้กับ เจฟฟ์ ไคร์นส์ (Jeff Kreines) พาร์ตเนอร์ของเธอนี่แหละที่เป็นคนคิดค้นระบบกล้องและการบันทึกเสียงซึ่งทำให้เกิด “การทำสารคดีแบบ Cinéma Vérité ด้วยตัวคนเดียว” และหนังของเธอได้รับการยกย่องว่าถ่ายทอดสังคมอเมริกันได้อย่างทั้งงดงามลึกซึ้ง จนเป็นแรงบับดาลใจให้แก่คนทำหนังรุ่นต่อมามากมาย
เดม็อตต์เกิดปี 1947 และโตมาในบรรยากาศหลากหลาย ทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ เธอทำงานสารพัดอาชีพ ตั้งแต่เป็นนักเขียนคอลัมน์ศิลปะของเดอะนิวยอร์กไทมส์ ไปยันงานสอนหนังสือและงานแม่บ้านในโรงแรม ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากทุกอย่าง เอาเงินไปซื้อกล้องหนึ่งตัว แล้วเริ่มต้นเส้นทางการเป็นคนทำหนัง
เธอเข้าเรียนคลาสส์ภาพยนตร์ที่ MIT โดยได้เรียนกับอาจารย์อย่าง ริชาร์ด พีค็อก และ เอ็ด พินคัส ซึ่งสอนให้เธอหลงรักการทำสารคดีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการบันทึกชีวิตจริงอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่เนื่องจากยุคนั้น วิธีการทำหนังแบบ cinéma vérité (คนทำหนังติดตามสังเกตการณ์ชีวิตบุคคล โดยไม่เข้าไปแทรกแซง) ยังต้องพึ่งอุปกรณ์ขนาดใหญ่และทีมงานจำนวนมาก ซึ่งเดม็อตต์เชื่อว่าทำให้เกิดระยะห่างที่ไม่จำเป็นระหว่างคนทำหนังกับซับเจ็กต์ เธอกับคู่หูคือ เจฟฟ์ ไคร์นส์ จึงช่วยกันสร้างนวัตกรรมสุดน่าทึ่งขึ้นมา นั่นคือระบบกล้อง 16 มม. ซิงค์เสียงแบบพกพาที่ใช้คนเดียวได้ (โดยนำเครื่องบันทึกเสียงตัวเล็กที่สร้างขึ้นให้พวกซีไอเอใช้ มาติดไว้ข้างกล้อง แล้วใช้ไมโครโฟนเล็กในมือซ้าย ทำให้สามารถบันทึกภาพและเสียงที่ซิงค์กันได้โดยไม่ต้องมีทีมงานเพิ่ม)
ระบบที่เรียบง่ายนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการทำสารคดี เพราะไม่แค่ทำให้คนทำหนังสะดวกขึ้น แต่ยังช่วยให้ซับเจ็กต์รู้สึกสบายใจขึ้น ไม่กังวลต่อหน้าอุปกรณ์หรือทีมงานรุงรัง ส่งผลให้พวกเขาแสดงออกต่อหน้าคนทำหนังได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงเท่านั้น เดม็อตต์กับไครน์ส์ยังทำหนังแบบเคร่งครัดมาก ๆ ไม่มีการสัมภาษณ์ ไม่ขอให้ซับเจ็กต์ทำหรือพูดอะไรเป็นพิเศษ ทั้งสองพกกล้องติดตัวเสมอเพื่อจะพร้อมบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทันที โดยใช้เลนส์ 10 มม. เพื่อให้ได้ภาพใกล้เคียงมุมมองของมนุษย์มากที่สุด ไม่ใช้เลนส์ซูม และถ่ายทำจากระยะใกล้เสมอ ทำให้งานของพวกเขาได้รับคำชมว่า เป็น “verité ที่ไร้การล่วงละเมิด”
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังเป็นที่รู้จักเรื่องการทำหนังภายใต้งบประมาณน้อยนิดอย่างเหลือเชื่อด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ไปขอให้เพื่อนที่ทำงานสถานีโทรทัศน์ช่วยล้างฟิล์มให้ในราคาถูก เป็นต้น
หนังเรื่องแรกของเดม็อตต์กับไครน์สคือ Vince and Mary Ann Get Married ซึ่งเป็นการบันทึกพิธีแต่งงานของมาเฟียในรัฐอิลลินอยส์ เอ็ด พินคัส (อาจารย์ของเดม็อตต์) บอกว่า นี่เป็น “หนึ่งในสารคดีที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
งานที่ทำให้เดม็อตต์เริ่มเป็นที่รู้จักคือ Demon Lover Diary (1980) ซึ่งบันทึกความโกลาหลของสองนักทำหนังที่พยายามสานฝันด้วยการทำหนังสยองขวัญทุนต่ำเรื่อง The Demon Lover ในมิชิแกน สารคดีดิบ ๆ เรื่องนี้ใช้งบแค่ 600 ดอลลาร์ แต่คว้ารางวัลสารคดีอิสระ-ทดลองยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์หนังแอลเอ และได้รับคำชมท่วมท้นว่าทั้งน่าขำ น่ากลัว น่าตื่นเต้น และต่างจากสารคดีทั่วไปสิ้นเชิง
ผลงานอีกเรื่องที่เป็นตำนานก็คือ Seventeen (1983) ที่ติดตามชีวิตวัยรุ่นหลากเชื้อชาติกลุ่มหนึ่งในรัฐอินเดียนาอย่างใกล้ชิดนานกว่าหนึ่งปี โดยถ่ายทอดพลังเดือดพล่านของคนหนุ่มสาว ประเด็นเชื้อชาติ ชนชั้น และเรื่องเพศอย่างไม่ประนีประนอม หนังโดนสถานี PBS แบน (เพราะกลัวเรื่องประเด็นการเมือง-สีผิวในหนัง) แต่ก็ได้ออกฉายตามเทศกาลและโรงมากมาย, คว้ารางวัล Grand Jury Prize จากซันแดนซ์ และได้รับคำยกย่องจากนิวยอร์กไทมส์ว่า “เป็นหนึ่งในหนังว่าด้วยชีวิตคนอเมริกันที่ดีที่สุด น่าสะพรึงที่สุด และติดตรึงในความทรงจำที่สุด”
ผู้กำกับระดับตำนานอย่าง ดีเอ เพนเนเบเกอร์ เคยบอกว่า เดม็อตต์กับไครน์ส เป็น “สองผู้กำกับที่เก่งที่สุดในแนวทางของพวกเขา เท่าที่ผมเคยรู้จักมา” และแม้แต่ผู้กำกับ เคลลี ไรคาร์ดส์ ก็หลงรักงานของเดม็อตต์สุดใจ ถึงขั้นเคยเขียนจดหมายไปบอกเธอว่า “ถ้าตัวฉันในปี 1975 ตอนอายุ 11 ได้เห็นภาพคุณในกระจกที่ถือกล้องนั่นล่ะก็ มันคงเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลย”
แต่แม้จะได้รับการยกย่องขนาดนี้ ก็น่าเสียดายที่งานของเดม็อตต์กับไครน์สไม่เคยได้รับการจัดจำหน่ายวงกว้างเลย งานอื่น ๆ นอกจากข้างต้น เช่น Montgomery Songs (1976), 36 Girls (1976), Down on the Farm (1977), God & Country (1978), A Simple Trip และ Goldbug Street แทบหาดูไม่ได้แล้ว สมัยก่อนทั้งสองจะใช้วิธีพรินต์ฟิล์ม 16 มม. แจกจ่ายมิตรสหายด้วยตัวเอง แต่ปัจจุบัน เราพอจะหาได้แค่ใน Youtube ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์คุณภาพต่ำเท่านั้น
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
Documentary Club is a group of film lovers dedicated to creating diverse spaces in Thailand for alternative films, especially documentaries. We do this by distributing films through various channels, organizing film screenings, hosting film festivals, and arranging discussion forums, in collaboration with partners from both the film industry and social sectors across the country.
Movies Matter Co.,Ltd.
Bangkok, Thailand