ในช่วงทศวรรษ 1950 เมื่อสารคดียังยึดติดกับการจัดฉากสัมภาษณ์ จัดฉากจำลองเหตุการณ์ขึ้นใหม่ และใช้เสียงบรรยายคอยอธิบายหรือชี้นำผู้ชม ได้เกิดกลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหาวิธีใหม่ ๆ ในการเข้าถึง ‘ความจริงที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง’ พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่เล่าเรื่อง แต่ต้องการพาตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์จริงและถ่ายทำขณะทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นจริง เพื่อจะส่งต่อความจริงนั้นไปสู่ผู้ชมให้ได้อย่างบริสุทธิ์ที่สุด
แนวคิดนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานของขบวนการสำคัญของสารคดีที่เรียกว่า Direct Cinema ซึ่งพาเราเข้าไปอยู่ใกล้กับผู้คนและสภาพแวดล้อมในแบบที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน
จุดเริ่มต้นและการปฏิวัติทางเทคโนโลยี :
Direct Cinema เป็นขบวนการสารคดีที่ส่วนใหญ่เริ่มต้นและเติบโตในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาช่วงปลายทศวรรษ 1950 ถึงต้น 1960 เพื่อจะตอบโต้การทำสารคดีแบบเดิมซึ่งทั้งมีข้อจำกัดเยอะเกินไป และให้ความรู้สึกว่าห่างไกลจากประสบการณ์ชีวิตจริง โดยผู้บุกเบิกคนสำคัญก็คือ โรเบิร์ต ดรูว์ อดีตนักบินผู้ผันตัวมาเป็นคอลัมนิสต์และเป็นคนจุดประกายความคิดในการค้นหาวิธีทำสารคดีแบบใหม่ที่ไม่น่าเบื่อ มีความสดใหม่ เร้าใจ น่าติดตาม เขาเริ่มจากการทดลองสร้างผลงานฉายทางรายการโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง The Ed Sullivan Show และ The Jack Paar Show โดยร่วมงานกับกลุ่มผู้ผลิตที่มีแนวคิดเดียวกัน ได้แก่ ริชาร์ด ลีค็อก, ดี เอ เพนเนเบเกอร์, เทอเรนซ์ แม็คคาร์ตนีย์-ฟิลเกต และ อัลเบิร์ต เมย์เซิลส์ ซึ่งในเวลาต่อมาล้วนกลายเป็นบุคคลสำคัญในวงการภาพยนตร์สารคดีอเมริกันทั้งสิ้น
ความใฝ่ฝันของดรูว์กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด เมื่อเขากับทีมงานประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์ระบบบันทึกเสียงแบบพกพาที่สามารถบันทึกเสียงจริงขณะถ่ายทำได้ แถมยังทำกล้อง 16 มม. ขนาดเล็กที่ถือถ่ายด้วยมือได้ด้วย การมาถึงของเทคโนโลยีใหม่เช่นนี้ช่วยให้คนทำหนังสารคดีเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์หนัก ๆ กับทีมงานขนาดใหญ่อีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถเข้าไปถ่ายทำเหตุการณ์จริงต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกคล่องตัวและใกล้ชิดมากขึ้น
หลักการ วิธีการ และเทคนิคทำหนังแบบ Direct Cinema :
จุดเด่นของขบวนการ Direct Cinema อยู่ตรงการเลือกใช้วิธีนำเสนอแบบ ‘สารคดีสังเกตการณ์’ (Observational Documentary) ที่ตัวคนทำวางบทบาทเป็นแค่ผู้เข้าไปสังเกตสถานการณ์แล้วบันทึกไว้ เพื่อให้กล้องนำความจริงมาสู่ผู้ชมให้ได้มากที่สุด ผู้กำกับจะพยายามไม่แทรกแซงรบกวนเหตุการณ์ตรงหน้า และพยายามหลบซ่อนตัวเองไม่ให้ใครเห็น อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดคำอุปมาว่า มันเป็นการทำหนังที่ผู้กำกับทำตัวเสมือนเป็น ‘แมลงวันเกาะอยู่บนกำแพง’ (fly-on-the-wall) นั่นเอง
และเพื่อให้หนังได้ความรู้สึกของความจริงมากที่สุด สารคดีแนวนี้ก็จะหลีกเลี่ยงวิธีการแบบสารคดีเดิม ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียงบรรยายความ (voice-over narration), การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ (formal interviews) หรือการจำลองเลียนแบบเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว (staged reenactments) แล้วพยายามปล่อยให้ตัวบุคคลในหนังพูดและแสดงออกโดยไม่มีการชี้นำหรือขัดจังหวะ เพื่อเผยความคิดของพวกเขาออกมาด้วยตัวเอง
จากข้างต้น เราได้รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ Direct Cinema จะไม่ทำ ต่อไปนี้เรามาดูบ้างว่า แล้วพวกเขามักจะทำอะไรและอย่างไร
วิธีการทั้งหมดนี้ไม่เพียงทำให้หน้าตาของหนังแตกต่างจากสารคดียุคเดิม แต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคนทำสารคดีกับผู้ชมด้วย เพราะเมื่อคนทำหนังพยายามลดบทบาทของตนลง และหนังไม่มีเสียงบรรยายหรือองค์ประกอบอะไรที่ชี้นำให้คนดูต้องสึกหรือคิดแบบนั้นแบบนี้มากนัก ความรับผิดชอบในการตีความสิ่งที่เห็นก็จะตกไปอยู่กับผู้ชมแทน ผู้ชมจะถูกกระตุ้นให้ต้องทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ได้ดูแล้วสร้างบทสรุปด้วยตนเองยิ่งกว่าเดิม
Primary (1960) ผลงานบุกเบิกของสารคดี Direct Cinema จากสหรัฐอเมริกา ติดตามการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครตในรัฐวิสคอนซิน ระหว่าง จอห์น เอฟ เคนเนดี กับ ฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ ซึ่งช่วงชิงการเป็นตัวแทนพรรคเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งทั่วไปปีเดียวกัน
หนังเรื่องนี้โปรดิวซ์โดย โรเบิร์ต ดรูว์ และถ่ายทำโดยทีมงานระดับตำนาน ได้แก่ ริชาร์ด ลีค็อก, ดี เอ เพนเนเบเกอร์, เทอเรนซ์ แม็กคาร์ตนีย์-ฟิลเกต และ อัลเบิร์ต เมย์เซิลส์ ซึ่งใช้กล้องเคลื่อนที่และอุปกรณ์บันทึกเสียงน้ำหนักเบา ทำให้สามารถติดตามผู้สมัครขณะเดินฝ่าฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์, เข้าไปเบียดอยู่ในรถยนต์และห้องพักโรงแรมที่แน่นขนัด และจับภาพใบหน้าของพวกเขาขณะรอผลการลงคะแนนในระดับใกล้ชิดแบบที่เทคนิคการทำสารคดีแบบเก่าไม่อาจทำได้ และมันก็ได้กลายเป็นต้นแบบของการรายงานข่าวด้วยวิดีโอที่ใช้กันเป็นมาตรฐานมาจนถึงปัจจุบัน
คลิปข้างต้นนี้ถือเป็นหนึ่งในช็อตระดับตำนานของวงการหนังสารคดี โดยเมย์เซิลส์ถือกล้องติดตามเจเอฟเคเข้าไปในหอประชุมเมืองมิลวอกี แล้วบันทึกบรรยากาศของความชื่นชมท่วมท้นที่เคนเนดี้ได้รับในตอนนั้น ซึ่งแรงสนับสนุนเช่นนี้เองที่จะนำพาเขาไปสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศในปลายปีเดียวกัน
แต่ ‘ไม่แทรกแซงเลย’ จริงหรือ? และ ‘นำเสนอความจริงอย่างเป็นกลาง’ จริงไหม :
การที่ Direct Cinema ยึดปรัชญา “ตัดการแทรกแซงทิ้ง เพื่อให้ความจริงได้พูดด้วยตัวเอง” จึงทำให้มันมักถูกใช้เคลมความเป็น ‘สารคดีที่มีความเป็นกลาง’ หรือ ‘สารคดีที่ถ่ายทอดความเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ’ อยู่เสมอ
แต่เป็นเช่นนั้นจริงไหม หนังหนึ่งเรื่องสามารถสำเร็จเป็นตัวเป็นตนได้โดยที่คนทำหนัง ‘ไม่แทรกแซงเลย’ จริงหรือเปล่า? นักวิจารณ์ในยุคต่อ ๆ มาชี้ให้เห็นว่า แม้จะไม่มีการควบคุมชัดเจนจากผู้กำกับ แต่หนังก็ยังต้องผ่านการตัดสินใจ ‘เลือก’ ของคนทำหนังในทุกขั้นตอนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกว่าจะถ่ายอะไร ถ่ายใคร จากมุมไหน จะเริ่มและหยุดถ่ายตอนไหน ใครจะมีโอกาสได้พูดในหนังบ้าง และส่วนใดบ้างที่จะยังคงเหลืออยู่หลังจากผ่านขั้นตอนตัดต่อครั้งสุดท้าย …แน่นอนว่าในที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ต้องถูกตัดสินใจเลือกโดยใครสักคน
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ตัวคนทำสารคดีจะพยายามซ่อนตัวให้มิดชิดขนาดไหน แต่แค่การมีกล้องและทีมงานเข้าไปปรากฏตัวอยู่ในสถานการณ์ ก็ย่อมจะส่งผลต่อพฤติกรรม การพูด การแสดงออก ของบุคคลตรงนั้นอยู่นั่นเองไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ แม้ Direct Cinema จะมีเจตนาที่บริสุทธิ์สูงส่ง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ยากจะกล่าวอ้างได้ว่าสิ่งที่ถ่ายมาและสิ่งที่ปรากฏในหนังเป็น ‘ความจริงแท้’ อันไร้อคติใด ๆ
Direct Cinema กับ Cinéma Vérité ต่างกันอย่างไร :
Direct Cinema (ซึ่งมีต้นกำเนิดหลักในอเมริกาเหนือ) และ Cinéma Vérité (กำเนิดในฝรั่งเศส) เป็นขบวนการทางสารคดีที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และมีเป้าหมายพื้นฐานเหมือนกันคือ การพยายามเข้าไปจับภาพความจริงอย่างใกล้ชิดและมุ่งเสนอความจริงแท้ของสถานการณ์กับผู้คนให้ได้มากที่สุด โดยใช้กล้องและอุปกรณ์บันทึกเสียงพกพาขนาดเล็กเป็นเครื่องมือ
ขบวนการสำคัญทั้งสองนี้มักถูกจำสับสนหรือปะปนกัน แต่จริง ๆ แล้วมันแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะด้านบทบาทและระดับการแทรกแซงของตัวคนทำหนัง
ขณะที่ Direct Cinema จะมุ่งให้คนทำหนังเป็นเหมือนแมลงวันที่เกาะอยู่เงียบ ๆ บนผนัง คอยสังเกตเหตุการณ์แบบไม่ให้ใครสังเกตเห็นตัวเอง สำนัก Cinéma Vérité จะมองคนทำหนังเป็นดัง ‘แมลงวันที่ตกลงไปในซุป’ (fly-in-the-soup) ซึ่งอยู่ท่ามกลางและมีส่วนร่วมกับสถานการณ์โดยตรงได้ หรืออาจถึงขั้นทำตัวเป็น ‘ผู้ยั่วยุ’ (provocateur) เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนเกิดปฏิกิริยา แล้วเปิดเผยความจริงที่ลึกซึ้งลงไปอีกขั้นออกมาให้เห็น
ตัวอย่างคลาสสิกของสารคดีกลุ่มนี้ก็คือ Chronicle of a Summer (1961) ของ เอ็ดการ์ โมแร็ง นักสังคมวิทยา และ ฌ็อง รูช นักมานุษยวิทยา-ผู้กำกับหนัง (รูชเป็นคนบัญญัติคำว่า Cinéma Vérité [ซึ่งแปลว่า Cinema of Truth หรือ ภาพยนตร์แห่งความจริงแท้] เพื่อเน้นให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาพยนตร์กับบริบทของมัน) หนังเปิดด้วยฉากที่รูชกับโมแร็งพูดคุยกันว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะแสดงความจริงใจตอนอยู่หน้ากล้องได้จริง ๆ” ตามด้วยการส่งนักแสดงหญิงคนหนึ่งออกไปพูดคุยกับผู้คนริมถนนเกี่ยวกับสังคมฝรั่งเศสและความสุขของชนชั้นแรงงาน แล้วช่วงท้ายพวกเขาก็นำฟุตเทจที่ถ่ายไว้มาให้ซับเจ็กต์ดู และชวนกันพูดคุยถึงระดับของ ‘ความเป็นจริง’ ที่แต่ละคนคิดว่าภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดออกมาได้
ตัวอย่างของสารคดีกลุ่ม Direct Cinema :
ปิดท้ายด้วยตัวอย่างสารคดีเกี่ยวกับการประท้วงในฮ่องกง 2 เรื่อง ซึ่งเลือกใช้แนวทางแตกต่างกันได้อย่างน่าสนใจ :
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม