แต่การเล่าในฐานะ “คนใน” ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของตัวฟาซีลีเช่นกัน เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อ (ผ่านวิดีโอและอีเมล) ว่า สิ่งยากที่สุดในการทำ Midnight Traveler ก็คือ การที่เขาต้องหาสมดุลระหว่างบทบาท “คนทำหนัง” และ “พ่อ”
“ยิ่งครอบครัวผมเจอปัญหาหนักเท่าไหร่ ยิ่งผมได้เจอเรื่องน่าเจ็บปวดมากแค่ไหน แปลว่าหนังก็ย่อมเข้มข้นขึ้นเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในฐานะคนทำหนัง แต่ในฐานะพ่อและสามีล่ะ ผมควรจะรู้สึกยังไงกันแน่ ผมอยากเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ชาวโลกได้รู้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรบ้างไหม”
“บางฉากผมมีความสุขกับการได้ถ่ายภาพสวยงาม แต่ขณะเดียวกันตัวผมก็ร้องไห้อยู่หลังกล้อง บางครั้งลูกเมียผมกำลังกลัวและมองผมเพื่อจะได้รู้สึกปลอดภัย ผมต้องแสร้งทำหน้าตาเข้มแข็งทั้งที่จริงๆ ผมก็กลัวและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ ผมอับอายที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อพวกเขาได้ ในเวลาแบบนั้นผมรู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดหนัง อยากจะพังโทรศัพท์ทิ้งแล้วทุบตีตัวเองแรงๆ และผมก็ต้องปลอบตัวเองด้วยความคิดที่ว่า เราไม่ใช่คนสร้างปัญหานี้ มันไม่ใช่ความผิดของผม เพื่อที่ผมจะได้มีกำลังใจทำงานต่อไป”
“ในโลกมีหนังมากมายเล่าเรื่องปัญหาของคนอพยพ แต่ผมอยากเล่ามันผ่านเรื่องครอบครัวผมเอง เพราะผมอยากให้คนดูรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา อยู่ข้างๆ เรา หัวเราะร้องไห้ เป็นทุกข์และมีความฝันไปพร้อมกับเรา ครอบครัวเราใกล้ชิดกันมาก เราต่อสู้ทุกปัญหาด้วยกัน เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกสิ้นหวัง เพียงแค่เห็นลูกๆ ทำอะไรสักอย่างที่น่ารัก ผมก็จะมีความหวังขึ้นมาใหม่ โลกของลูกสาวผมมีแต่ความจริงใจ การอยู่ใกล้ลูกเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต และตลอดการหลบหนีนี้ พลังทั้งหมดของเราก็เกิดจากการที่เราอยู่ด้วยกัน ผมเลยคิดว่านี่ล่ะเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ผมอยากถ่ายทอด”