แต่นอกจะปฏิเสธแบบไม่กลัวผู้นำประเทศหน้าแหกแล้ว นาเนายังเขียนจดหมายตอบกลับอย่างเจ็บแสบ ด้วยการโจมตีรัฐบาลว่าลวงโลกไร้ความจริงใจ เพราะไม่เคยมีแผนช่วยเหลือเยียวยาวงการศิลปวัฒนธรรมของประเทศเลย โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่สถาบันศิลปะหลายแห่งของโรมาเนียถูกทอดทิ้งจนเจ๊งต้องปิดตัวกันระนาว
นาเนาให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป รัฐบาลเราไม่เคยคิดกลไกอะไรเยียวยาแวดวงวัฒนธรรมเลย โรงหนังอิสระ, นักแสดง, อุตสาหกรรมหนังล้วนแต่ใกล้ล้มละลาย ดังนั้น มันคงเป็นเรื่องผิดมากถ้าผมยังยอมแอ่นอกไปให้พวกเขาติดเข็มเชิดชู และทำตัวเป็นกระบอกเสียงช่วยสื่อสารว่า ‘วัฒนธรรมโรมาเนียยังดีอยู่นะ’ มันไม่ยุติธรรมกับเพื่อนพ้องร่วมอาชีพของผม โดยเฉพาะหลังจากที่ผมทำหนังว่าด้วยรัฐที่ข่มเหงรังแกประชาชนมาตลอด”
(เขายกตัวอย่างความพังของนโยบายรัฐว่า กฎหมายเคยกำหนดให้ RFC ต้องให้งบแก่คนทำหนังปีละ 2 ครั้ง แต่ในปี 2020 งบหายเงียบไม่เหลือแม้แต่ครั้งเดียว)
ไม่ต้องสงสัย หลังข่าวปฏิเสธรางวัลแถมด่าไล่หลังนี้แพร่ออกไป ปฏิกิริยาแรกของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมก็คือ “พวกเขาด่าผมว่า ‘เราอุตส่าห์สนับสนุนคุณ อุตส่าห์สนับสนุนการโปรโมทหนังคุณไปชิงรางวัล คุณกล้าดียังไง’ แต่ผมไม่สน ผมไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของหนังตัวเอง ผมแค่เรียกร้องให้เราได้มาพูดคุยแล้วหาหนทางไปด้วยกัน แต่แทนที่พวกเขาจะตอบรับแบบนั้น กลับเปลี่ยนประเด็นมาเป็น ‘หมอนี่ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่’ ซะงั้น”
และเมื่อถามว่ากลัวผลกระทบว่าอนาคตอาจอดลุ้นทุนจากรัฐไหม นาเนาบอกว่า “หนังของผมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ทุนจากรัฐเลย (หมายถึงสารคดี The World According To Ion B ปี 2009 ว่าด้วยคนไร้บ้านในบูคาเรสต์ และ Toto And His Sisters ปี 2015 ว่าด้วยสามพี่น้องวัยรุ่นในสลัม) แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว กรรมการชุดใหม่ๆ เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่ตัดสินใจให้ทุนกับหนังอย่าง Collective เพราะพวกเขาไม่ตั้งคำถามแบบพวกคนรุ่นก่อนหรอกว่า ‘ทำไมเราจะต้องสนับสนุนหนังที่ด่าประเทศตัวเองด้วยล่ะ?’”