สนทนากับ อานเญส วาร์ดา และ เจอาร์ : ว่าด้วยเบื้องหลัง Faces Places

(กว่าจะเป็น Faces Places : จากบทสัมภาษณ์โดย โอลีเวียร์ เปร์ ผู้อำนวยการแผนกภาพยนตร์ของ ARTE FRANCE)

หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมคุณสองคนถึงอยากมาทำหนังด้วยกัน

เจอาร์ : เล่าตั้งแต่เริ่มเลยนะ
อานเญส วาร์ดา : โรซาลีลูกสาวฉันเป็นคนคิดว่าน่าจะดีถ้าเราได้มาเจอกัน ซึ่งเราก็คิดว่าดีเหมือนกัน
เจอาร์ : ผมเป็นฝ่ายรุกก่อน ผมไปหาอานเญสที่บ้านของเธอตรงถนนดาแกร์ ถ่ายภาพหน้าบ้านอันเป็นตำนานของเธอ เธออยู่บ้านนี้มาร้อยปีแล้ว แล้วก็ถ่ายภาพเธอกับแมวด้วย
อานเญส : นั่นมันยายเธอแล้ว ร้อยปีน่ะ ไม่ใช่ฉัน ฉันยังไม่ร้อย! พอวันถัดมาฉันก็ไปเยี่ยมเขาที่สตูดิโอบ้าง ฉันถ่ายภาพเขาและรู้เลยว่าหมอนี่เป็นประเภทไม่ยอมถอดแว่นดำง่ายๆ แน่
เจอาร์ : แล้วเราก็นัดเจอกันวันต่อมา และดื่มน้ำชากันวันต่อมาอีก
อานเญส : เรารู้สึกทันทีเลยว่าสมควรหาอะไรทำด้วยกัน
เจอาร์ : ตอนแรกคุยกันว่าอาจจะเป็นหนังสั้น…
อานเญส : …แล้วก็สารคดี เพราะเราเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าสิ่งที่เธอชอบคือแปะภาพถ่ายคนขนาดใหญ่ๆ ขึ้นกำแพง เป็นการสร้างพลังอำนาจให้แก่พวกเขาด้วยขนาดของมัน ส่วนฉันก็ชอบรับฟังพวกเขาและจับจ้องสิ่งที่พวกเขาพูด ความชอบของเราแบบนี้น่าจะนำไปสู่งานอะไรสักอย่างได้
เจอาร์ : และเราก็อยากออกเดินทางด้วยกันด้วย ทั้งอานเญสและผมไม่เคยกำกับหนังร่วมกับใครมาก่อนเลย

ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องของผู้คนในชนบทฝรั่งเศสเป็นหลัก

เจอาร์ : อานเญสอยากให้ผมออกนอกเมืองบ้างครับ
อานเญส : ใช่ เพราะเธอนี่เป็นศิลปินในเมืองขนานแท้เลย และอีกเหตุผลคือฉันเองก็ชอบชนบท เราชอบไอเดียเรื่องการไปเยือนผู้คนตามหมู่บ้านชนบท เราได้พบคนมากมายในที่เหล่านั้นด้วยการเดินทางไปในรถตู้ถ่ายรูปสุดเจ๋งของเธอ รถตู้คันนี้เป็นนักแสดงเอกของหนังเพราะปรากฏตัวตลอดเวลา
เจอาร์ : ผมใช้รถคันนั้นมาหลายปีแล้ว ในหลายโครงการเลย
อานเญส : จริงจ้ะ แต่คราวนี้เป็นโครงการของเรา เราไปด้วยกัน เราขับมันไปตามชนบทฝรั่งเศสที่นั่นที่นี่ สนุกมากๆ

เราเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าสิ่งที่เธอชอบคือแปะภาพถ่ายคนขนาดใหญ่ๆ ขึ้นกำแพง เป็นการสร้างพลังอำนาจให้แก่พวกเขาด้วยขนาดของมัน ส่วนฉันก็ชอบรับฟังพวกเขาและจับจ้องสิ่งที่พวกเขาพูด ความชอบของเราแบบนี้น่าจะนำไปสู่งานอะไรสักอย่างได้

มีการวางแผนการเดินทางไหม ถ้าไม่มีแล้วคิดโครงสร้างของหนังที่อิงอยู่บนความบังเอิญแทบทั้งเรื่องได้อย่างไร แล้วแต่ว่าจะเจออะไรก็ด้นไปเรื่อยๆ น่ะเหรอ

อานเญส : บางครั้งเราคนใดคนหนึ่งก็เป็นฝ่ายรู้จักชาวบ้านบางคนในบางหมู่บ้าน หรือบางครั้งก็มีเป้าหมายจำเพาะเจาะจงอยู่ในใจ แล้วเราก็ลองเดินทางไปดูว่าจะทำอะไรได้ไหม มันก็เหมือนหนังสารคดีทั้งหลาย-ซึ่งฉันเองก็เคยทำมาหลายเรื่อง -ที่เริ่มต้นจากการมีไอเดียอยู่ แต่แล้วโอกาสและเหตุบังเอิญก็จะเข้ามามีบทบาทกำหนดว่าเราจะได้เจอใคร เราอาจเจอคนมากมาย จนสักพักสิ่งต่างๆ ก็จะเริ่มขมวดเข้าด้วยกันและในที่สุดหนังก็จะโฟกัสไปที่คนใดคนหนึ่งหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจนได้ แต่แน่ล่ะว่าหลักๆ คือเราต้องเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา เราถือว่ามันคือผู้ช่วยคนสำคัญเลยล่ะ
เจอาร์ : แล้วเราก็มองหาเรื่องราวของชีวิตที่น่าสนใจด้วยครับ เพราะเรายังต้องการเล่าเรื่องของคนที่บังเอิญไปเจอนั่นด้วย นอกจากนั้น เราสองคนก็ยังได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านการเดินทางของหนังเรื่องนี้ ผมได้เรียนรู้และเข้าใจอานเญสขึ้นอีกนิด ได้รู้ว่าเธอมองสิ่งต่างๆ อย่างไร เธอเห็นอะไร ขณะที่เธอเองก็พยายามทำความเข้าใจกระบวนการทำงานศิลปะของผมเช่นกัน เราคุยกันและช่วยกันคิดนั่นนี่หลายอย่าง จนกระทั่งเริ่มมองเห็นหนังเรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
อานเญส : ตอนนั้นแหละที่โรซาลีก้าวเข้ามาโปรดิวซ์ให้
เจอาร์ : คุณเป็นคนพูดว่า “เราทำเป็นหนังกันเหอะ”

หนังเรื่องนี้เป็นการเดินทางทั่วฝรั่งเศส แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินทางผ่านความทรงจำ ทั้งความทรงจำส่วนตัวและความทรงจำร่วม ของคนใช้แรงงาน, ชาวนา และชาวบ้าน

เจอาร์ : ไม่ว่าเราจะไปเยือนที่ไหน เราจะรู้ได้แทบทันทีว่าเราจะสามารถเชื่อมสายสัมพันธ์กับที่นั่นได้หรือเปล่า
อานเญส : อย่างหนึ่งของเธอที่ฉันชอบมาก คือเธอทำงานเร็วจริงๆ เจอใครปุ๊บ เธอจะจินตนาการได้ทันทีเลยว่าจะทำอะไรกับเขาได้บ้าง เช่น บุรุษไปรษณีย์ที่บอนนีเยอซึ่งฉันเคยรู้จักและก็อยากให้เธอได้เจอเพราะฉันชอบบุรุษไปรษณีย์ ฉันชอบจดหมายกับแสตมป์ เธอเอาภาพเขาไปเผยแพร่บนเว็บไซต์และมีคนไลค์ถึง 20,000 คน ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจได้ว่าจะขยายรูปเขาให้เป็นรูปใหญ่ยักษ์ในฐานะฮีโร่ประจำหมู่บ้าน
เจอาร์ : สูงเท่าตึกสามชั้นเลยล่ะ
อานเญส : เขาภูมิใจสุดๆ ไปเลย แล้วจากหมู่บ้านนั้นเราก็ขับไปอัลป์-เดอ-โอต์-โพรวองซ์
เจอาร์ : ซึ่งมีคนที่นั่นเล่าให้ฟังเรื่องโรงงานใกล้ๆ ชาโต อาร์นู
อานเญส : ฉันรู้จักผู้จัดการโรงหนังท้องถิ่นชื่อจิมมี่ ฉันเคยเอาหนังเรื่อง Vagabond ไปฉาย เขาเป็นคนพาเราไปดูโรงงานที่ว่านั่น
เจอาร์ : เหมือนมันจะอันตรายนิดๆ น่ะ พอเราได้ยินแล้วอยากเห็นเลยไปดูกัน และพอเจอคนงานก็เกิดไอเดียทำภาพขึ้นมา
อานเญส : โรงงานอุตสาหกรรมมันสวยจริงๆ และคนที่ทำงานที่นั่นก็จิตใจดีงาม
เจอาร์ : พวกเขาร่วมมือกับเราอย่างดีเลยตอนถ่ายรูปหมู่ ที่อื่นๆ บางแห่งที่ผมเป็นคนพาคุณไปก็กลายเป็นว่าคุณเคยไปมาก่อนแล้ว อันที่จริงที่ผมนึกถึงมันก็อาจเพราะผมได้แรงบันดาลใจมาจากภาพที่คุณถ่ายตามสถานที่เหล่านั้นสมัยก่อนนั่นแหละ
อานเญส : หลายๆ ภาพที่เธอเอาไปแปะก็เป็นภาพของฉันนี่
เจอาร์ : จริง
อานเญส : อย่างเช่นภาพแพะมีเขา ฉันถ่ายไว้ตอนออกไปหาโลเคชั่นทำหนัง
เจอาร์ :  เราไปขลุกอยู่กับแพทริเซียหลายวัน เธอเป็นผู้หญิงที่เลี้ยงแพะโดยไม่บั่นเขามันทิ้งตั้งแต่แรกเกิดเหมือนคนอื่นๆ น่ะครับ
อานเญส : หลายๆ คนแสดงความรู้สึกแรงกล้ามากเวลาพูดถึงงานที่ทำ ผู้หญิงคนนี้มีอุดมการณ์ชัดเจนเรื่องแพะกับเขาของมัน ความเชื่ออันแรงกล้าของเธอเป็นอะไรที่น่าประทับใจ
เจอาร์ : ทางเหนือนี่เช่นกันครับที่เราได้ยินเรื่องทรงพลังหลายเรื่อง
อานเญส : เช่นเรื่องเหมืองซึ่งทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว แต่เราเจอผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเจนีน ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในเรือนแถวของคนงานเหมือง เธอเล่าเรื่องพ่อที่ทำงานเหมือง และเรื่องอดีตคนงานอื่นๆ ซึ่งมีความทรงจำดีๆ มากมายร่วมกันเกี่ยวกับโลกใบที่เราแทบไม่เคยรู้จัก มันน่าสนใจมากเลยนะที่ได้ฟังพวกเขาเล่าเรื่องเหล่านี้ด้วยความรู้สึกท่วมท้นจริงๆ เราซึ้งใจกับเรื่องของเจนีนมาก
เจอาร์ : เวลาคุณสัมภาษณ์คน คุณจะลงลึกและดื่มด่ำมาก ผมมีความสุขจริงๆ เวลาฟังคุณสนทนากับคนนั้นคนนี้
อานเญส : เธอเองก็คุยกับผู้คนเยอะนี่จ๊ะ
เจอาร์ : ใช่ครับ ตอนทำงานศิลปะของตัวเอง ผมก็ชอบทำแบบนี้ เหมือนที่ผมเห็นคุณทำในหนังของคุณบ่อยๆ นั่นแหละ คุณมีวิธีเข้าหาผู้คนที่พิเศษมาก ทั้งอ่อนโยนและลึกซึ้ง แล้วก็มีความเป็นเฟมินิสต์ด้วยนะ
อานเญส : แน่สิ ก็ฉันเป็นเฟมินิสต์นี่!

เราสองคนได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านการเดินทางของหนังเรื่องนี้ ผมได้เรียนรู้และเข้าใจอานเญสขึ้นอีกนิด ได้รู้ว่าเธอมองสิ่งต่างๆ อย่างไร เธอเห็นอะไร ขณะที่เธอเองก็พยายามทำความเข้าใจกระบวนการทำงานศิลปะของผมเช่นกัน

ผู้หญิงมีตัวตนแจ่มชัดมากในหนัง คุณเห็นความสำคัญของพวกเธอทั้งในโลกการเกษตรและในหมู่ผู้ใช้แรงงาน

อานเญส : ใช่ค่ะ เจอาร์กับฉันเห็นพ้องกันว่าเรื่องนี้สำคัญ และเราควรเปิดโอกาสให้พวกเธอได้พูด
เจอาร์ : นั่นเป็นไอเดียของอานเญสครับ ตอนที่ผมเอาภาพคนทำงานท่าเรือในอ่าวเลออาฟวร์ไปให้ดู เธอบอกว่า “แล้วพวกผู้หญิงอยู่ไหนหมด” ผมเลยโทรไปถามคนงานว่า “ชวนภรรยาของพวกคุณมาที่ท่าได้มั้ย” พวกเขาตอบว่า “พวกเธอไม่เคยมาเลยนะ แต่นี่อาจเป็นโอกาสเหมาะแล้วก็ได้” บ้าจริงๆ เลยที่พวกเธอเพิ่งมีโอกาสมาเหยียบท่าเรือก็เพราะหนังเรื่องนี้
อานเญส : แล้วเราก็ได้ผู้หญิงน่าสนใจสามคนที่มีเรื่องสำคัญจะพูดมาอยู่ในหนัง ดีมากๆ ฉันดีใจที่ได้เห็นพวกเธอได้รับความสนใจ หนึ่งในนั้นพูดว่า “อย่างน้อยก็สักครั้งนึง (ที่เราได้มีโอกาสเป็นที่สนใจ)” คนงานที่ท่าเรือช่วยเราด้วยการเอาตู้คอน-เทนเนอร์มาเรียงให้ตามที่เราขอ เราใช้มันเป็นเหมือนเลโก้ที่ประกอบกันเข้าเป็นตึกสูงใหญ่ คุณต้องไปดูเองในหนังน่ะนะ เล่าไปก็ไม่เห็นภาพ ตื่นเต้นสุดๆ!
เจอาร์ : เราควรบอกด้วยว่า คนงานท่าเรือเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงการประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่พอดี ผมจึงทึ่งมากเลยที่พวกเขายังให้เกียรติงานศิลปะถึงขนาดนี้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้อเลยก็ตาม
อานเญส : เพราะแนวคิดของเราคือ งานศิลปะมีไว้เพื่อทุกคน เหล่าคนงานยินดีช่วยเราเพราะพวกเขาอยากมีส่วนร่วมในโครงการศิลปะนี้
เจอาร์ : คนงานคนหนึ่งพูดว่า “ศิลปะมีไว้เพื่อทำให้เราประหลาดใจนี่นะ!” เราไปขัดจังหวะชีวิตเขา แต่พวกเขากลับอ้าแขนรับเรา มีเหตุการณ์ซับซ้อนเคร่งเครียดมากมายกำลังเกิดขึ้นทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก ส่วนเราก็มุ่งมั่นอยู่กับงานของเรา และผู้คนที่เราได้พบก็ยังเข้าใจเราเป็นอย่างดี
อานเญส : เราเป็นโครงการเล็กๆ น่ารักในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายที่กำลังขยายตัวไปทั่ว

ว่าตามจริง หนังของคุณก็ช่วยบรรเทาความว้าวุ่นนั่นนะ

อานเญส : พวกเขาชอบที่เราไปด้วยอารมณ์ด้านบวก และก็ชอบพวกมุขที่เธอแซวฉันด้วย เราตั้งใจว่าจะทำงานนี้แบบเป็นตัวของตัวเองและก็เชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาร่วม

พวกคุณสร้างความสัมพันธ์ที่ทรงพลังมากกับผู้คนที่ไปเจอ และก็ยังให้เกียรติรำลึกถึงคนที่ตายไปแล้วหลายๆ คนในระหว่างที่คุณเดินทางไปด้วย เช่น นาตาลี ซาร์โรต, กีย์ โบแด็ง, การ์ตีเยร์-แบรซง

อานเญส : ใช่ค่ะ ฉันเคยรู้จักพวกเขา การรำลึกถึงพวกเขาจึงหมายถึงการนำพาพวกเขากลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันผ่านบ้านของนาตาลี ซาร์โรตโดยบังเอิญซึ่งทำให้ฉันมีความสุข แต่จริงๆ แล้วคนที่เราสนใจมากกว่าคือชาวนาท้องถิ่นที่บ้านอยู่เลยไปอีก เขาทำนาขนาด 2,000 เอเคอร์คนเดียวเลยล่ะ
เจอาร์ : อีกที่หนึ่งที่เราไปถ่ายกันก็คือหมู่บ้านร้าง ที่นั่นมีอดีตของมัน ส่วนเรามีรถตู้ถ่ายรูปของเรา เราไปจัดปาร์ตี้กับชาวบ้านละแวกนั้น ชื่อที่นั่นตลกดีครับ คือ “พีรูพลาจ” (ชายหาดเมืองพีรู)
อานเญส : แล้วคืนนั้นเราก็แปะภาพใบหน้าเป็นร้อยๆ หน้าขึ้นกำแพงบ้านร้าง และวันรุ่งขึ้นเราก็จากมา เราได้ยินข่าวหลังจากนั้นว่าหมู่บ้านนี้ถูกรื้อทิ้งไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง
เจอาร์ : เราไม่ได้ทำงานที่จะอยู่ต่อเนื่องถาวร งานของเรามีช่วงเวลาเฉพาะของมัน
อานเญส : นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันรักการทำหนังสารคดีด้วยเหมือนกัน เราไปใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับผู้คน เป็นเพื่อนกับเขา แล้วก็ห่างหายกันไป แบบเดียวกับที่เธอเปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขาด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งก็จะหล่นหายจากผนังไปในไม่ช้า เรารู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ช่างมหัศจรรย์ เป็นช่วงเวลาของการพบเจอผู้คน บันทึกมันไว้ แปะมันขึ้น ประกาศให้โลกเห็นมัน! ฉันชอบอะไรแบบนี้มากๆ เลย
เจอาร์ : ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ได้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่มันจะยังคงประทับใจตรึงอยู่ในใจเรา

คุณถ่ายทำหนังเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง

อานเญส : เราเดินทางกันครั้งละหนึ่งหรือสองทริปแล้วก็หยุดพัก เพราะฉันไม่ได้แข็งแรงขนาดจะไปยืนกลางแจ้งถ่ายหนังติดกันแปดสัปดาห์รวดไหวแล้ว เราถ่ายกันเดือนละสองถึงสี่วันเท่านั้นเอง
เจอาร์ : ผมว่าวิธีนี้ดีนะ เราได้มีเวลาในการคิด สะท้อน และมองให้ชัดว่าหนังจะมุ่งไปทางไหน เราเริ่มตัดต่อกัน เราคุยกันเป็นชั่วโมงๆ เพื่อคิดว่าจะทำยังไง ตัวผมค่อนข้างจะชอบวิธีอิมไพรไวส์ครับ แบบ “ลองเลยเหอะ ดูซิว่าจะเป็นยังไง” ส่วนอานเญสจะเป็นอีกแนว เธอจะชอบคิดถึงทั้งซีเควนซ์และช็อตนั่นนี่ ความต่างนี้ทำให้การกำกับร่วมของเรามีพลวัตน่าสนใจ
อานเญส : เรายังมีช่องว่างระหว่างวัยหลายรุ่นด้วย แต่เราก็ไม่ได้นึกถึงมันเลยระหว่างทำงาน ถึงเธอจะปีนบันไดเร็วกว่าฉันเยอะก็เถอะ! เราต่างก็เป็นนายแบบนางแบบให้กัน ฉันรู้สึกอย่างนั้นนะเพราะการที่เราถ่ายตอนเธอทำงาน ตอนเธอปีนนั่งร้าน ก็ทำให้เราได้ภาพตัวเธอและงานของเธอด้วย ส่วนเธอเองก็สนใจเกี่ยวกับตัวฉันเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสายตาที่กำลังเสื่อมของฉัน
เจอาร์ : จริงครับ เราพยายามแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับสายตาของคุณ ผมอยากมองสิ่งต่างๆ แทนคุณเพราะคุณมองเห็นอะไรๆ ไม่ชัดแล้วโดยเฉพาะจากระยะไกล ผมถ่ายภาพตาคุณแบบใกล้มากๆ ไว้และโชว์ให้คนอื่นได้เห็นจากระยะไกลมากๆ …อ้อ แล้วยังมีภาพหัวแม่เท้าคุณด้วยนะ!
อานเญส
:
เออ ใช่ หัวแม่เท้าฉันด้วย ฉันล่ะขำไอเดียเธอ เธอแซวฉันอยู่ได้ แต่เธอก็คิดค้นภาพที่แสดงถึงความ สัมพันธ์ของเราอยู่ตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน เราสองคนสนใจการสำรวจสถานที่และรูปทรงต่างๆ เหมือนกันเลย
เจอาร์ :
ผมว่าทุกคนที่เราได้พบเจอจะสอนอะไรบางอย่าง แก่เราได้เสมอ และในทางกลับกันด้วย
อานเญส : เหมือนตอนที่เราเล่าให้ช่างยนต์ที่อู่ฟังเรื่องแพะโดนบั่นเขา แล้วเขาตอบว่า “โอ้โฮ แปลกจัง ความรู้ใหม่สำหรับผมเลยนะเนี่ย ผมขอเอาไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังนะ”
เจอาร์ : จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง จากไอเดียหนึ่งไปสู่อีกไอเดียหนึ่ง แบบนี้ล่ะที่หนัง ปะติดปะต่อตัวเองขึ้นมา

เราไปใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับผู้คน เป็นเพื่อนกับเขา แล้วก็ห่างหายกันไป แบบเดียวกับที่เธอเปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขาด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งก็จะหล่นหายจากผนังไปในไม่ช้า เรารู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ช่างมหัศจรรย์ เป็นช่วงเวลาของการพบเจอผู้คน บันทึกมันไว้ แปะมันขึ้น ประกาศให้โลกเห็นมัน

หนังเรื่องนี้เป็นการปะติดปะต่อจริงๆ โดยมีเจอาร์เป็นคนแปะภาพยักษ์ขึ้นกำแพงและอานเญสเป็นคนคอยประกอบความเป็นภาพยนตร์ ด้วยการเชื่อมร้อยที่มีความสอดคล้องพ้องจองกันและด้วยความน่าพิศวงทางภาพ

อานเญส : ฉันชอบแนวคิดที่ว่า กระบวนการตัดต่อก็คือการปะติดปะต่อและการเล่นกับคำ เล่นกับภาพ ต่อเนื่องกันไปโดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็น “ตอน 1, ตอน 2” บางครั้งฉันจะเห็นภาพการปะติดปะต่อนั้นเป็นเหมือนชุดคำที่คล้องจองกัน เช่น คำว่า visages, villages, collages, …

คำว่า rivage (ชายหาด) ด้วย… ช่วยเล่าเรื่องบังเกอร์ที่หล่นอยู่บนบนชายหาดนั่นให้ฟังหน่อยสิครับ

เจอาร์ : ผมไปนอร์มังดีบ่อยเพื่อขี่มอเตอร์ไซค์เล่นบนชายหาด ก็เลยไปเจอป้อมของเยอรมันจากช่วงสงครามพังหล่นลงมาจากหน้าผา ปักโด่เด่อยู่กลางหาดเลย ผมเล่าเรื่องนี้ให้ อานเญสฟังแต่เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ จนวันหนึ่งผมก็พูดชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา คราวนี้เธอปิ๊งเลย เธอบอกว่า “เอ๊ะเดี๋ยว ฉันรู้จักแซ็งโตแบ็งเซอเมนี่นา ฉันเคยไปที่นั่นกับกีย์ โบแด็งตั้งแต่ยุค 50 โน่น” ผมก็เลยพาเธอไปที่นั่น แล้วเธอก็พาผมไปบ้านกีย์ที่อยู่ใกล้ๆ เธอเอาภาพที่ถ่ายเขาตอนนั้นมาให้ดู จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นบนหาดนี้ด้วยกันและพูดกันว่า “เราน่าจะพาเขากลับมาที่นี่อีกนะ” การแปะภาพคราวนี้โหดมากเพราะเราต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว ป้อมที่ว่านี้ใหญ่ยักษ์ แถมน้ำทะเลก็กำลังขึ้นอีกต่างหาก
อานเญส : ฉันถ่ายภาพกีย์ โบแด็งนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้น แต่เธอเป็นคนเสนอไอเดียให้ติดภาพเขาแบบเอียงขึ้นและเปลี่ยนบังเกอร์สมัยสงครามนั่นให้ดูคล้ายเปลกำลังกล่อมไกวกีย์หนุ่มน้อย ฉันซาบซึ้งตื่นเต้นสุดขีดเลยที่ได้เห็นว่าความหมายของภาพมันเปลี่ยนแปลงไปยังไง มันเกิดความหมายใหม่ในระยะสั้นๆ ก่อนที่กระแสน้ำจะพัดขึ้นมา…ซู่ววว! แล้วก็กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างหายวับ

ประสบการณ์ของการที่ภาพพิเศษในตอนจบของหนังซึ่งอยู่ในซีเควนซ์ที่ก็พิเศษเหลือเกินนั้นประทับใจผมมากเลย ในฐานะที่มันเป็นภาพแทนของหนังเรื่องนี้ได้อย่างงดงาม มันแสดงถึงการก่อเกิดขึ้น การพัฒนาเติบโต และการสูญสลาย

เจอาร์ : หนังแสดงถึงความคิดนั้นแหละครับ พร้อมๆ ไปกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของเราสองคนที่เติบโตขึ้นไปกับประสบการณ์นี้ สิ่งที่เกิดกับดวงตาของอานเญสเป็นสิ่งที่กระทบใจผมมาก มันกวนใจผมและมันก็กลายมาเป็นซับเจ็กต์ของหนังไปด้วย
อานเญส : พูดแบบนั้นก็อาจจะเว่อร์ไปนิดนึง แต่จริงนะที่ “ดวงตาและการมองเห็น” เป็นสิ่งสำคัญในงานของเธอ เธอเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างชัด มันช่วยดวงตาที่หม่นมัวของฉันได้ ขณะเดียวกันก็ย้อนแย้งซะจริงที่เธอชอบปิดบังมันไว้หลังแว่นตาดำ เรามีอะไรๆ ให้อีกฝ่ายประหลาดใจอยู่เรื่อย และฉันหวังว่าผู้ชมของเราก็จะประหลาดใจกับเรื่องความสัมพันธ์ของเราและเรื่องราวส่วนตัวอันน่าทึ่งของผู้คนที่เรารวบรวมมาด้วย ฉันจะไม่มีวันลืมสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดกับเราเลย

ฉากจบของหนังก็เป็นอีกสิ่งที่ผมประหลาดใจ

อานเญส : เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่เราได้พานพบมา และเป็นเรื่องที่ฉันไม่ขอออกความเห็นดีกว่าค่ะ
เจอาร์ : ตอนขึ้นรถไฟ ผมไม่รู้เลยว่าอานเญสจะพาไปไหน มันเป็นเกมน่ะครับ แต่พอถึงจุดหนึ่งเมื่อเราหยุดเล่น ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา กลายเป็นการผจญภัยจริงๆ แล้วพริบตาต่อมา เราก็ไปนั่งจ้องมองทะเลสาบเลอมองกัน
อานเญส : …น้ำใส บรรยากาศแสนสบายมาก และตรงนั้นล่ะที่เราตัดสินใจว่าหนังมาถึงตอนจบแล้ว