อย่างไรก็ตาม ความที่หนังว่าด้วยการตัดสินใจปีนผาสูงอันสุ่มเสี่ยง ก็นำมาซึ่งคำถามที่คนทำหนังสารคดีหลายคนเคยเผชิญกันมาแล้วเช่นกัน นั่นคือ “ผลกระทบและแรงกระเพื่อมที่ผู้กำกับมีต่อตัวซับเจ็กต์”
…เป็นไปได้ไหมว่า หากไม่มีการถ่ายทำสารคดีเรื่องนี้ ฮอนโนลด์ก็อาจไม่ตัดสินใจจะปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายดังกล่าว? คนทำหนังจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองมีส่วน ‘พัวพัน’ กับเรื่องราวที่อยากถ่ายทอดได้จริงไหม? และเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏในสารคดีคือเรื่องราวที่ปราศจากการกุมบังเหียนทิศทางของผู้กำกับ?
เหล่านี้คือ “คำถามเชิงจริยธรรม” ที่ดุเดือดอย่างยิ่ง
หนึ่งในตัวอย่างอื้อฉาวของการที่คนทำหนังสารคดีถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม ก็คือสารคดีการเมืองเรื่อง Torre Bela (1975, โธมัส ฮาร์แลนด์) ที่ว่าด้วยการเกิดขึ้นและล่มสลายของกลุ่มแรงงานผู้ประท้วงนโยบายถือครองที่ดินในโปรตุเกส กล้องถ่ายหนังมีสถานะประหนึ่งผู้สังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าการมีอยู่ของคนทำหนังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อซับเจ๊กต์ในหนังเลย กระทั่งอีกหลายปีให้หลัง สารคดี Red Line หรือ Linha Vermelha (2011, โฆเซ ฟิลิป คอสตา) จึงตีแผ่ข้อเท็จจริงที่ว่า ที่แท้แล้วฮาร์แลนด์มีอิทธิพลมากต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประท้วง ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการทำให้การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองดุเดือดและซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นเนื้อหาในหนังสารคดีของตัวเอง!
ข้อหาที่ว่า “ยุให้ซับเจ็กต์ทำเรื่องเสี่ยง เพื่อให้ได้หนังเข้มข้น” จึงสร้างความกังวลแก่ไชและชินมาก แต่ทั้งคู่ก็สามารถหลบเลี่ยงปัญหานี้ได้อย่างงดงาม ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นักวิจารณ์กล่าวว่า Free Solo ไม่ใช่แค่หนังบันทึกการผจญภัยชวนหวาดเสียวธรรมดาๆ แต่มันคว้าออสการ์อย่าง “สมมง” เป็นที่สุด
วิธีที่ทั้งสองผู้กำกับใช้ก็คือ การให้กล้องตามจับภาพฮอนโนลด์โดยจัดวางระยะห่างและระยะชิดตามจังหวะอย่างเหมาะสม เหนืออื่นใดคือ การให้คนทำหนังเอง -ที่โดยทั่วไปมักจะอยู่เบื้องหลังกล้อง- ปรากฏตัวให้คนดูเห็นด้วย พร้อมขึ้นสถานะบนจออย่างชัดเจนว่า ‘ผู้กำกับ’ แล้วก็สวมบทบาทเป็นผู้ตั้งคำถามถึงการกระทำอันบ้าบิ่นของฮอนโนลด์อย่างตรงไปตรงมา
ด้วยวิธีนี้ คนดูก็ได้กลายเป็นพยานสำคัญของการถกเถียงหาจุดลงตัวระหว่างผู้กำกับกับทีมงาน และผู้กำกับกับฮอนโนลด์เอง ทั้งยังเชื้อเชิญให้คนดูร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าไปด้วยกัน (“เขาจะปีนจริงหรือ จะเสี่ยงทำไม แล้วพวกเราควรถ่ายไหม เราควรจะถ่ายอย่างไร”) จนมันได้กลายเป็นหนึ่งในเส้นเรื่องหลักและเหตุการณ์สำคัญของ Free Solo ไปโดยปริยาย (เมื่อมีบางครั้งที่ฮอนโนลด์แสดงท่าทีชัดเจนและเปิดเผยในการขอระยะห่างระหว่างตัวเขา -ซึ่งเป็นซับเจ็กต์- กับกล้อง)
ไม่เพียงเท่านั้น ชินกับไชยังเชื่อมโยงเรื่องราวส่วนตัวของฮอนโนลด์เข้ากับเส้นเรื่องหลักด้วย โดยเฉพาะบทสนทนาอันแสนจะเป็นส่วนตัวระหว่างฮอนโนลด์กับ ซานนี แม็กแคนด์เลสส์ หญิงสาวที่เขาคบหาดูใจอยู่ เมื่อแม็กแคนด์เลสส์ตั้งคำถามถึงเหตุผลในการไต่ผาสูงชันของคนรัก และหวังว่าเขาจะเข้าใจที่เธอลังเลกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเขา ซึ่งประเด็นนี้ก็ถูกนำมาผสานจนกลายเป็นอีกเส้นเรื่องหนึ่งที่ขับให้เห็นความมุมานะไปจนถึงบ้าระห่ำของฮอนโนลด์ได้อย่างดี
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Free Solo ได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงในปีนี้ ด้วยความที่มันไม่เพียงประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดประสบการณ์เดือดพล่านของซับเจ็กต์ได้อย่างเร้าใจ พร้อมๆ กับที่เจาะลึกความขัดแย้งมากมายในตัวมนุษย์ได้อย่างเข้าถึงเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวอย่างของหนังสารคดีประเด็นท้าทาย ที่จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของคนทำหนังและความสัมพันธ์ของพวกเขากับซับเจ็กต์และคนดูได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย
Movies Matter Co.,Ltd / THAILAND
© All Rights Reserved 2024
subscribe to newsletter to stay up to date with our films & events