ว่ากันตามตำราก่อน… บิล นิโคลส์ ปรมาจารย์ชาวอเมริกันได้จัดแบ่งสารคดีออกเป็น 6 รูปแบบใหญ่ ๆ (หรือจริง ๆ เรียกว่า “วิธีการเล่าเรื่องที่โดดเด่น 6 รูปแบบที่คนทำสารคดีมักเลือกใช้” จะตรงกว่า โดยเราอาจมองมันว่าเป็นเหมือน “ภาษา” ที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าคนทำหนังคนใดจะอยากสื่อสารกับผู้ชมด้วยภาษาแบบไหน) ดังต่อไปนี้
นี่เป็นวิธีการเล่าสารคดีแบบที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี … ลองนึกถึงสารคดีธรรมชาติที่มีเสียงบรรยายอันสุดจะทรงพลัง หรือสารคดีบอกเล่าปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่มีเสียงผู้บรรยายคอยอธิบายสิ่งที่เรากำลังชมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยข้อมูลหรือมุมมองที่ผ่านการค้นคว้ากลั่นกรองมาอย่างละเอียดชัดเจน ราวกับมีเพื่อนผู้รอบรู้คอยนั่งอธิบายสถานการณ์อันซับซ้อนให้เราฟังและคล้อยตามโดยไม่ต้องสงสัยหรืองุนงง
ตัวอย่างสารคดีที่โดดเด่นในรูปแบบนี้ ก็เช่น
ภาพน้ำฝนหยดบนถนนก็อาจเป็นภาพน้ำฝนหยดบนถนนเฉย ๆ สำหรับเราหลายคน แต่สำหรับคนทำหนังที่มีสายตาดั่งกวี น้ำฝนที่โปรยปรายลงบนถนนอาจหมายถึงการเต้นระบำของแสงและเงาที่มีชีวิตชีวา …ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ ยอริส อีเวนส์ รังสรรค์ขึ้นใน Regen (Rain, 1929) สารคดีที่พลิกโฉมวงการด้วยการให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา
งานในแนวทางนี้มักให้ความรู้สึกราวกับเรากำลังอ่านบทกวีผ่านภาพ มากกว่าจะเป็นสารคดีทั่วไป พวกเขาสร้างความหมายผ่านจังหวะ รูปแบบ และการเชื่อมโยงภาพที่งดงาม แทนที่จะยัดเยียดข้อถกเถียงอย่างโจ่งแจ้ง
ผลงานที่โดดเด่นในแนวทางนี้มีอาทิ
เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1960 โลกของสารคดีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเกิดขึ้นของกล้องวิดีโอขนาดเล็กที่ทั้งเบาและพกพาง่าย เอื้อให้คนทำหนังสามารถถือกล้องติดตามซับเจ็กต์ของพวกเขาไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เฝ้าสังเกตชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด ไม่มีการสัมภาษณ์ ไม่มีดนตรีประกอบ ไม่มีเสียงบรรยาย มีเพียงเรื่องจริงดำเนินไปตรงหน้าเลนส์ซึ่งคนทำหนังทำหน้าที่บันทึกไว้แล้วปล่อยให้ผู้ชมตีความเอาเอง
ตัวอย่างผลงานที่ทรงอิทธิพลในแนวทางนี้:
สารคดีกลุ่มนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “สารคดีแบบมีส่วนร่วม” ก็เพราะตัวคนทำเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องราว ไม่ใช่แค่ผู้สังเกตการณ์ (observer) แต่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาโดยตรงและอาจจะมีอิทธิพลในการขับเคลื่อนเรื่องเองด้วย ผู้กำกับอาจจะปรากฏตัวต่อหน้ากล้องเพื่อสัมภาษณ์ผู้คน หรือพูดผ่านเสียงพากย์ (voiceover) ก็ได้ นอกจากนั้นการมีส่วนร่วมในที่นี้ยังหมายรวมไปถึงการที่หนังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้คนในชุมชนนั้น โดยผู้กำกับจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ช่วยให้ชุมชนได้มาเล่าเรื่องของตนเอง เป็นการใช้หนังเป็นสื่อสร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้แบ่งปันเรื่องราวและมุมมองของพวกเขา
ตัวอย่างเด่น ๆ เช่น
เป็นวิธีเล่าเรื่องสารคดีที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนทำหนังกับผู้ชม กระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อการรับรู้ของตัวเอง และทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับ “ความจริง” อีกครั้ง วิธีการของหนังก็คือ การนำเสนอ “กระบวนการสร้างสารคดี” เอง ให้ผู้ชมได้เห็นเบื้องหลังการผลิตในแง่มุมต่าง ๆ โดยตัวคนทำเข้าไปมีบทบาทในเรื่องราวและมักให้กล้องหรือทีมงานเป็นส่วนหนึ่งของหนังด้วย เพื่อเน้นให้ผู้ชมตระหนักถึงโครงสร้างและอิทธิพลของกระบวนการสร้างภาพยนตร์ต่อเนื้อหา และลดอคติที่อาจเกิดขึ้นจากการรับชม
ตัวอย่างของสารคดีกลุ่มนี้ เช่น
เป็นรูปแบบของสารคดีที่เน้นความเกี่ยวข้องของคนทำหนังกับเรื่องราวที่นำเสนอ โดยใช้ประสบการณ์หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนทำหนังเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจประเด็นที่กว้างขึ้น เช่น การเมือง ประวัติศาสตร์ หรือสังคมของกลุ่มคนต่าง ๆ
สารคดีแนวนี้มักใช้มุมมองที่เป็นอัตวิสัย (subjective lens) เพื่อถ่ายทอด “ความจริง” ที่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแบบสัมบูรณ์ แต่เป็นความจริงที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวของตัวคนทำหนังเอง ผู้กำกับสารคดีแนวนี้มักจะปรากฏตัวในหนังด้วยและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราว นอกจากนี้ยังอาจมีการใช้ฟุตเทจเบื้องหลังการถ่ายทำ หรือฉากที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างคนทำสารคดีกับบุคคลหรือประเด็นที่เขากำลังสำรวจอยู่นั้น
ตัวอย่างเช่น
สารคดีแบบ Performative เป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์และความคิดของผู้ชม เนื่องจากไม่เพียงแต่ให้ข้อมูล แต่ยังถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของผู้สร้าง ซึ่งช่วยให้เกิดการตั้งคำถามกับ “ความจริงอื่น ๆ” ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อกระแสหลักประเภทอื่นในสังคม
จะเห็นได้ว่า สารคดีแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม สารคดีจำนวนมากไม่ได้สร้างภายใต้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ผสมผสานหลายสไตล์เข้าด้วยกัน (เช่น Chronicle of a Summer นั้นมีทั้งความเป็น Participatory และ Reflexive, หนังส่วนใหญ่ของ ไมเคิล มัวร์ เป็น Participatory ผสม Performative ขณะที่หนังของพี่น้องเมย์เซิลส์ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งหนังในบุกเบิกแนวทาง Direct cinema เอาเข้าจริงก็มีความเป็นทั้ง Participatory และ Observational ปะปนกัน) การจัดแบ่งประเภทเช่นนี้จึงไม่ได้มีไว้เพื่อขีดกรอบให้แก่หนังเรื่องไหน แต่มีไว้เพื่อให้เรามองเห็นความหลากหลายของ “วิธีเล่า” ของหนังสารคดีมากกว่า
ที่น่าสนใจคือ แนวคิดข้างต้นของ บิล นิโคลส์ ก็ยังมีผู้เห็นแย้ง และมีหลายคนที่นำเสนอวิธีการจัดแบ่งประเภทของสารคดีแบบอื่น ๆ ที่น่าศึกษาเช่นกัน ซึ่งเราจะนำมาเล่าในบทความตอนต่อ ๆ ไป
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
Documentary Club is a group of film lovers dedicated to creating diverse spaces in Thailand for alternative films, especially documentaries. We do this by distributing films through various channels, organizing film screenings, hosting film festivals, and arranging discussion forums, in collaboration with partners from both the film industry and social sectors across the country.
Movies Matter Co.,Ltd.
Bangkok, Thailand