
งานชิ้นนี้ถือเป็นหนังบุกเบิกรูปแบบ “ethnofiction*” ที่ผสมผสานสารคดีกับเรื่องแต่ง ถ่ายทำในเมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรีโคสต์ โดยนำเสนอชีวิตของแรงงานอพยพชาวไนเจอร์ที่ย้ายมาหางานทำในย่านแออัดของเมืองหลวง
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แหวกแนวก็คือวิธีการสร้าง ซึ่งรูชใช้เวลา 9 เดือนเข้าไปคลุกคลีกับคนในชุมชน และให้พวกเขา “รับบทเป็นตัวเอง” เพื่อเล่าเรื่องชีวิตของตัวเอง แต่ “ใช้ชื่อของดารา-ตัวละครจากหนังฮอลลีวูด” ที่พวกเขาชื่นชอบ เช่น เอ็ดเวิร์ด จี. โรบินสัน, เอ็ดดี้ คอนสแตนติน, ทาร์ซาน แล้วหนังก็ตามติดไปถ่ายทำชีวิตของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทั้งชีวิตยามกลางวันที่พวกเขาไปแบกกระสอบในท่าเรือด้วยค่าแรงเพียงวันละ 20 ฟรังก์ และชีวิตกลางคืนในบาร์ที่แต่ละคนดื่มเพื่อลืมความทุกข์
ไม่เพียงวิธีเล่าที่ต่างจากสารคดีทั่วไป แต่กระบวนการสร้างก็ต่างด้วย รูชไม่ได้มีไอเดียตายตัวตั้งแต่ต้น เขาใช้วิธีถือกล้อง 16 มม. (ซึ่งมีน้ำหนักเบา) ถ่ายทำไปเรื่อย ๆ และไปในทุกที่ที่ตัวละครไป จนกระทั่งได้ฟุตเทจมากพอจะนำมาสร้างเรื่องราว จากนั้นเขาก็ให้นักแสดงมาบันทึกบทพูดในสตูดิโอที่พิพิธภัณฑ์มนุษย์ในปารีส แล้วนำมาซ้อนทับกับเสียงถนนที่บันทึกมาจากอาบีจาน ทำให้หลาย ๆ ฉากเกิดบรรยากาศคล้ายความฝัน
Moi, un noir ได้รับรางวัล Louis Delluc Prize และได้รับคำชมว่า เป็นตัวอย่างของสารคดีทดลองที่มาจากมุมมองที่ไม่ใช่กระแสหลักและส่งผลเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนมองทั้งสารคดีและเรื่องแต่ง นอกจากนั้นหนังยังส่งอิทธิพลอย่างมากต่อการเกิดขบวนการ French New Wave ของฝรั่งเศส โดยเฉพาะการใช้การตัดต่อแบบ jump cut และใช้นักแสดงสมัครเล่นซึ่งเป็นวิธีที่ต่อมา ฌอง-ลุก โกดาด์ นำไปใช้ในหนังเรื่อง Breathless โดยโกดาด์เองยกย่องว่าหนังเรื่องนี้ “เข้าถึงระดับความจริงที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์”
(*ethnofiction หมายถึง ภาพยนตร์ชาติพันธุ์วิทยากึ่งสารคดีกึ่งบันเทิง [ethnographic docufiction] ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์สารคดีและภาพยนตร์บันเทิงในขอบเขตของมานุษยวิทยา วิธีการหลัก ๆ คือการให้คนท้องถิ่นมารับบทเป็นตัวเองในฐานะสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มสังคมนั้น ๆ และใช้การเล่าเรื่องแบบบันเทิงหรือผสมจินตนาการ)
สารคดีเรื่องนี้เปิดฉากมาในเซ็นทรัลปาร์กโดยชวนให้เราเข้าใจว่า เป็นการบันทึกเหตุการณ์การแคสติ้งหรือการคัดตัวนักแสดงธรรมดา ๆ ของหนังเรื่องหนึ่ง (สมมติว่าหนังเรื่องนั้นชื่อ A) แต่จริง ๆ แล้ว กรีฟส์แอบซ่อนการทดลองอันซับซ้อนไว้ โดยเขาจัดเตรียมทีมถ่ายทำหลายชุด (ทั้งกล้องหลัก กล้องเบื้องหลัง และกล้องแอบถ่าย) แล้วบอกให้แต่ละทีมบันทึกภาพซึ่งกันและกันไว้ให้หมด
นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราจะได้เห็นจะไม่ใช่แค่เหตุการณ์การแคสติ้งของหนัง A เท่านั้น แต่ยังเห็นบรรยากาศที่เกิดขึ้นรอบ ๆ การถ่ายทำด้วย โดยเฉพาะเมื่อทีมงานเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสไตล์การกำกับของกรีฟส์ที่ดูประหลาด วุ่นวายไร้ทิศทาง และเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการถกเถียงทะเลาะกันหลังกล้อง (ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถูกถ่ายไว้โดยอีกทีมงานหนึ่ง) เมื่อภาพทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังปะปนกัน ก็ส่งผลให้เส้นแบ่งระหว่าง “การบันทึกความจริง” และ “การถูกจัดฉาก” พร่าเลือนลง นำมาสู่ประเด็นสำคัญว่าด้วยอำนาจในกองถ่าย การควบคุมทีมงาน ไปจนถึงคำถามใหญ่ที่ว่า “การทำหนังที่แท้จริงคืออะไร”
สารคดีว่าด้วยบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทำในช่วงการจลาจล ณ ย่านแฮนด์สเวิร์ธและลอนดอนในปี 1985 โดยจุดเด่นอยู่ตรงที่หนังไม่ได้ใช้วิธีรายงานข่าวแบบเดิม ๆ แต่ใช้เทคนิคผสมผสานวัตถุดิบหลากหลาย ทั้งฟุตเทจข่าว ภาพนิ่ง การสัมภาาณ์คนที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ และการจัดวางเสียง (ที่หลาย ๆ ครั้งก็ไม่ได้เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับภาพบนจอ) จนทำให้เกิดเรื่องราวที่มีหลายชั้นซ้อนทับกัน เพราะสิ่งที่อาคอมฟราห์ต้องการจะสื่อสารก็คือ เหตุจลาจลครั้งนั้นมีความซับซ้อน มันไม่ได้มีข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียว แต่มีความจริงและความคิดเห็นจากหลากหลายมุมมองที่แตกกระจัดกระจายอยู่ เขาจึงประกอบสร้างมันขึ้นเพื่อปิดโอกาสให้ผู้ชมด้วยตนเอง
(*กลุ่ม Black Audio Film Collective ก่อตั้งในปี 1983 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมภาพยนตร์ของคนผิวดำในวงการหนังและวิดีโอ ผลงานของพวกเขาเน้นท่าทีต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและเพศ งานหลาย ๆ ชิ้นมีเจตนาตั้งคำถามเรื่องการนำเสนอภาพลักษณ์ของคนผิวดำและคนพลัดถิ่นในสื่อต่าง ๆ)
สารคดีสำรวจบทบาทของผู้หญิงเวียดนามทั้งในประวัติศาสตร์และสังคมร่วมสมัย ผ่านเรื่องเล่าของผู้หญิงจากทั้งเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ และสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอประเด็นการกดขี่ในสังคมปิตาธิปไตย (ที่มีความเชื่อว่า “ลูกสาวต้องเชื่อฟังพ่อ ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี หญิงม่ายต้องเชื่อฟังลูกชาย”) ชีวิตหลังสงคราม และการปรับตัวของพวกเธอในต่างแดน
ครึ่งแรกของหนังถ่ายทำในโทนขาวดำและเราจะเห็นการสัมภาษณ์ที่ดูเหมือนจริง แต่ต่อมาหนังกลับเปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วผู้หญิงที่มาให้สัมภาษณ์นั้นเป็นนักแสดงชาวเวียดนาม-อเมริกัน และบทสัมภาษณ์ก็เป็นข้อความที่แปลมาจากหนังสือ จากนั้นครึ่งหลังของหนังเปลี่ยนเป็นภาพสีและเห็นตัวผู้กำกับมินห์-ฮามาทำการสัมภาษณ์นักแสดงเหล่านั้นเรื่องชีวิตจริงของพวกเธอในฐานะผู้อพยพ นอกจากนั้นหนังยังผสมผสานสื่อหลากรูปแบบ ทั้งการเต้นรำพื้นเมือง บทกวีโบราณ ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ และใช้การตัดต่อแบบกระจัดกระจาย ไม่ลื่นไหล
มินห์-ฮาใช้วิธีเหล่านี้เพื่อทำให้เราเกิดความรู้สึกแปลกแยกต่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน เธอท้าทายให้เราคิดเรื่อง “ความจริงที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ” และเกิดคำถามต่อท่าทีที่สื่อกระแสหลักในโลกตะวันตกมักใช้ในการนำเสนอ “วัฒนธรรมอื่น” โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาติยุคหลังอาณานิคม
Surname Viet Given Name Nam เป็นหนังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในวงการหนังและวงวิชาการ ในฐานะสารคดีที่สำรวจประเด็นอัตลักษณ์ เพศสภาพ และการพลัดถิ่นผ่านรูปแบบการทดลองที่หลากหลาย จนถูกนำไปศึกษาในหลักสูตรภาพยนตร์ศึกษาและสตรีศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วโลก
หนังสารคดีที่แฮร์โซ้กถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม. เพื่อนำเสนอความเลวร้ายของสงครามอ่าว แต่ความแหวกแนวกล้าหาญอยู่ตรงที่เขาเล่าโดยไม่อธิบายบริบททางประวัติศาสตร์และการเมืองใด ๆ ของสงครามนั้นเลย แถมยังเลือกเล่ามันผ่านมุมมองของ “ผู้สังเกตการณ์ที่เหมือนมาจากต่างดาว” อีกต่างหาก ภาพที่เราได้เห็นจึงเป็นภาพแปลกประหลาดที่แสดงถึงหายนะของสงคราม โดยเฉพาะภาพน่าสะพรึงกลัวของทุ่งน้ำมันที่ถูกทำลายในคูเวตซึ่งดูแปลกตาและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนดาวดวงอื่น ประกอบเข้ากับดนตรีคลาสสิกทรงพลังจากวากเนอร์ มาห์เลอร์ และชูเบิร์ต
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้สารคดีเปลี่ยนหน้าตา จากการอธิบายข้อเท็จจริงและบริบทเพื่อจะวิพากษ์สงครามแบบตรงไปตรงมา กลายเป็น “การไตร่ตรองเชิงอภิปรัชญา” แทน
Lessons of Darkness คว้ารางวัล Grand Prix จากเทศกาลหนังนานาชาติเมลเบิร์น และ นสพ.ลอสแอนเจลิสไทมส์จัดให้มันเป็น “สารคดีที่น่าจดจำที่สุดแห่งปี 1992” โดยนักวิจารณ์กล่าวว่าวิธีการของแฮร์โซ้กนั้นทำให้เกิดภาพที่ทั้งงดงามและสงบนิ่ง ซึ่งยิ่งทำให้เรารับรู้ความบ้าคลั่งของโลกใบนี้ได้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือตอนมันไปฉายในเทศกาลหนังเบอร์ลินนั้น มีคนดูลุกขึ้นตะโกนด่าทอที่แฮร์โซ้ก “เปลี่ยนความสยดสยองของสงครามให้กลายเป็นความสวยงาม” ซึ่งแฮร์โซ้กโกรธมากและตอบโต้ว่าคนดูเข้าใจผิด เขายืนยันว่ามีศิลปินระดับโลกมากมายที่ก็เคยใช้วิธีคิดนี้ (คือ ใช้ความงามเพื่อเสียดสีและขับเน้นความโหดร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง) เช่น ในงานจิตรกรรมของโกยา เป็นต้น
หนังที่พาเราไปสัมผัสประสบการณ์สุดเข้มข้นของการทำประมงเชิงพาณิชย์นอกชายฝั่งนิวอิงแลนด์เรื่องนี้ สร้างนิยามใหม่ให้กับคำว่า “สารคดี” ด้วยการทดลองแบบสุดขั้ว ทั้งโดยการใช้กล้อง GoPro ขนาดจิ๋วที่ติดอยู่กับตัวชาวประมง, ติดไว้กับอุปกรณ์จับปลา และบางครั้งก็ใช้วิธีโยนกล้องลงทะเลไปเลย เพื่อจับภาพจากมุมมองที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เด็ดขาดถ้าใช้วิธีถ่ายทำแบบทั่วไป
ผลที่ได้คือแม้หลาย ๆ ฉากจะหวือหวาจนน่าเวียนหัวไปบ้าง แต่มันประสบความสำเร็จในการทำให้เราซึมซับ “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับท้องทะเล” ได้อย่างเต็มที่ ยิ่งเมื่อหนังใช้การออกแบบเสียงที่ผสมผสานทั้งเสียงใต้น้ำ เสียงเครื่องจักร และเสียงธรรมชาติ ก็ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้ดำดิ่งเข้าไปอยู่ในโลกของชาวประมงเหล่านี้จริง ๆ
Toponymy หรือ “ภูมินามวิทยา” หมายถึงการศึกษาที่มา ความหมาย และการใช้งานของชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเพเรลหยิบคำนี้มานำเสนอให้เห็นเป็นภาพ โดยนำกล้องไปบันทึกชื่อของเมือง 4 เมืองในรัฐตูกูมัน ประเทศอาร์เจนตินา แต่ละเมืองตั้งชื่อตามนายทหารที่เสียชีวิต “ในการต่อสู้กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล”
วิธีที่เพเรลใช้นั้นน่าสนใจมาก ๆ เขาจงใจบันทึกและจัดเรียงภาพอย่างเป็นระบบเข้มงวด เราจะเห็นชุดภาพทั้งที่มาจากพิมพ์เขียวเก่า ๆ ของเมือง ภาพถ่ายจากหอจดหมายเหตุ และภาพของเมืองในปัจจุบัน ทั้งหมดเป็นช็อตนิ่ง ๆ ที่ถูกจัดองค์ประกอบภาพเหมือนกันเปี๊ยบ ขณะที่สภาพของป้ายและบ้านเมืองที่เห็นก็แลดูทรุดโทรม และแทบไม่มีคนท้องถิ่นปรากฏตัว มีเพียงเสียงที่ดังมาจากนอกเฟรม ราวกับว่าเฟเรลไปถ่ายทำในเมืองร้างที่มีแต่ผีและวิญญาณ
ทั้งหมดนี้สื่ออะไร? เพเรลต้องการให้เรารับรู้ถึง “การควบคุมของเผด็จการ” แล้วขบคิดว่า อำนาจทางการเมืองนั้นหล่อหลอมพื้นที่กายภาพอย่างไร และสถาปัตยกรรมหรืองานออกแบบต่าง ๆ ที่หลงเหลือมาจากยุคนั้นสามารถเผยให้เห็นการควบคุมทางการเมืองได้อย่างไรบ้าง
สารคดีนำเสนอผลกระทบจากการทำเหมืองถ่านหินของจีนในมองโกเลีย โดยอิงโครงเรื่องหลวม ๆ มาจาก Divine Comedy ของดันเต้ ด้วยการพาเราเดินทางจาก “นรก” (พื้นที่เหมืองสีแดง) ผ่าน “แดนชำระ” (ชุมชนรอบเหมืองสีน้ำเงิน) ไปสู่ “สวรรค์” ซึ่งแท้จริงแล้วกลับเป็นเมืองร้างสีเทามัวหม่น อันเป็นปลายทางน่าเศร้าของเหล็กที่ผลิตจากชีวิตคนงาน
สิ่งที่ทำให้ Behemoth โดดเด่นคือวิธีการเล่าเรื่องที่แหวกจากสารคดีทั่วไป แทนที่จะใช้การสัมภาษณ์หรือบรรยายตรงไปตรงมา หนังเลือกใช้ภาพที่ทรงพลังและสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น “คนนำทาง” ที่ถือกระจกสะท้อนภาพคนตายและอดีต และ “คนเล่าเรื่อง” ที่เป็นชายเปลือยหันหลังให้ผู้ชม ตลอดทั้งหนังเราจะได้ยินบทสนทนาแค่ไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นเสียงร้องแหบพร่าเหมือนเพลงชุมชนดั้งเดิมและดนตรีประกอบที่สร้างความหลอนให้แก่บรรยากาศ
หนังเรื่องนี้ถูกแบนในประเทศจีนเพราะวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินและรัฐบาล แต่ในเวทีนานาชาติ มันได้รับการยอมรับอย่างงดงาม ทั้งได้เข้าฉายที่เทศกาลหนังเวนิซปี 2015 และได้รับคำชมมากมายในการเสนอภาพที่เหนือจริงเพื่อสะท้อนความจริงอันโหดร้ายของนโยบายพัฒนาชาติจีน ซึ่งทอดทิ้งทั้งสิ่งแวดล้อมและมนุษย์
เราอาจจะจัดสารคดีเรื่องนี้ให้อยู่ในกลุ่มงานนามธรรม หนังทดลอง หรือ “slow cinema” ด้วยก็ได้ หนังถ่ายทำทั้งเรื่องในเวลากลางคืนด้วยกล้องนิ่ง ๆ พาเราไปสู่โลกที่แทบไม่มีมนุษย์ มีเพียงสัตว์ไม่กี่ชนิดอาศัยอยู่ และมีการปรากฏตัวของบางสิ่งที่ไม่อาจนิยามได้ซึ่งมาในรูปของสายลมที่พัดผ่านหุบเขา ทะเลสาบ ป่า ครั้นค่ำคืนคืบคลานเข้ามา ภาพธรรมชาติที่ดูธรรมดาก็ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ความเหนือธรรมชาติ บางช่วงมีการใช้ดิจิทัลสร้างภาพที่ดูก้ำกึ่งระหว่างภาพถ่ายกับภาพวาด ระหว่างความจริงกับฝันร้าย ขณะที่การออกแบบเสียงก็เต็มไปด้วยเสียงลม ฝน และเสียงร้องของสัตว์จากที่ไกล ๆ ทำให้เกิดบรรยากาศแปลกประหลาดที่ทำให้นึกถึงความตายและวันสิ้นโลก
สก็อตต์ บาร์ลีย์ ใช้เวลา 16 เดือนทำหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเขาเอง ทั้งเขียนบท กำกับ อำนวยการสร้าง แต่งเพลง ตัดต่อ และที่น่าสนใจคือ หนังไม่มีนักแสดงและบทพูดอะไรทั้งสิ้น เขาถ่ายทำทั้งเรื่องด้วย iPhone 6 ในสก็อตแลนด์และเวลส์บ้านเกิด ภาพนิ่งกับภาพวาดที่อยู่ในหนังนั้นก็เป็นฝีมือของเขาเอง โดยส่วนที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด (หรืออาจจะชวนหลับสำหรับบางคน) ก็คือ ช็อตภาพพระอาทิตย์ตก…ซึ่งยาวถึง 11 นาที
ฟังดูก็เดาได้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องมีกลุ่มผู้ชมเฉพาะมาก ๆ แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ได้รับการยกย่องอย่างท่วมท้น นักวิจารณ์หลายคนชื่นชมวิธีที่บาร์ลีย์สร้างภาพน่าทึ่งด้วยการกลับไปสู่พื้นฐานของภาพยนตร์ (คือการถ่ายทำโลกธรรมชาติ แต่ทำให้มันกลายเป็นนามธรรม) หนังได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยมของ The Village Voice, Far Out จัดให้มันอยู่ในอันดับ 4 ของลิสต์ “10 หนังที่ดีที่สุดที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ” และ นิโคล เบเนซ นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เรียกมันว่า “หนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของทศวรรษนี้”
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม