
ว่าแต่หนังสารคดีเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม หรืออย่างน้อยที่สุดก็เปลี่ยนทัศนคติของคนได้จริงไหม และถ้าจริง – ถ้าสารคดีสักเรื่องสามารถทำให้ใครสักคนเกิดความรู้สึกท่วมท้นหลังดูจบจนถึงกับบอกตัวเองว่า “ฉันต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง” …แล้วอะไรคือคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้หนังสารคดีทำได้ถึงขนาดนั้น?
ในเอกสารวิจัย Impact Field Guide & Toolkit ของ docsociety ซึ่งรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับสารคดีที่สร้างความเปลี่ยนแปลง อธิบายไว้น่าสนใจว่า เหตุผลสำคัญ 4 ข้อที่ทำให้หนังสารคดีทำบทบาทนี้ได้ดีก็คือ
แม้ว่าหนังสารคดีจะเป็นสื่อสำหรับถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับข่าวและสื่อโซเชียลมีเดียทั่วไป แต่แตกต่างกันตรงที่หนังสารคดีไม่ต้องมุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องทันกระแสแบบเน้นความไวความสั้น แต่มันเน้นการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์จึงสามารถดึงดูดผู้ชมให้จมดิ่งไปเรื่องราวได้ดีกว่า ใช้เวลาค่อย ๆ สร้างความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า สารคดีเล่าเรื่องชีวิตจริงของผู้คนในแบบที่ช่วยให้ผู้ชมมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดหรือประเด็นต่าง ๆ ที่ปกติอาจดูเข้าใจยากหรือเป็นนามธรรมเกินไป ยิ่งถ้าสารคดีเรื่องนั้น ๆ ถูกออกแบบกลยุทธ์ในการใช้งานมาด้วย ก็ยิ่งมีโอกาสที่มันจะกระตุ้นให้ผู้ชมอยากลุกขึ้นมามีส่วนร่วมและลงมือทำอะไรบางอย่าง
หลายครั้งที่ภาครัฐหรือเอกชนพยายามนำเสนอนโยบายเชิงก้าวหน้าใหม่ ๆ แต่สังคมตามไม่ทัน จึงไม่เข้าใจและอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน จังหวะนั้นแหละที่คนทำหนังสารคดีมีบทบาทเข้าไปช่วยได้ ด้วยการใช้หนังเป็นสื่อกลางนำเสนอมุมมองใหม่เหล่านั้นให้คนดูเข้าใจง่ายขึ้น รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเองได้มากขึ้น และเริ่มเปิดใจรับฟังได้ดีขึ้น หรือกล่าวอีกอย่างว่า สารคดีคืองานทางวัฒนธรรมที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าองค์กรทางสังคมหรือนักวิชาการเสนอแนวคิดเรื่องสิทธิพลเมือง สมรสเท่าเทียม รัฐสวัสดิการ การปฏิรูปการศึกษา ฯลฯ ประชาชนอาจนึกไม่ออกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเขาอย่างไร และอาจเกิดความรู้สึกไม่สนใจหรือไม่อยากสนับสนุน แต่หนังสารคดี (เช่น Where to Invade Next ของ ไมเคิล มัวร์) สามารถพาเราไปดูชีวิตของคนธรรมดาสามัญที่ได้รับผลดีจากนโยบายก้าวหน้าเหล่านี้ในประเทศอื่น ๆ หรือทำให้เราได้สัมผัสความทุกข์ยากของคนในสังคมที่ล้าหลังต่อเรื่องเหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจชัดมากขึ้นว่าทำไมเราจึงควรสนับสนุนการพัฒนาหรือกฎหมายบางอย่างให้มากขึ้น
หนึ่งในจุดแข็งของสารคดีคือ ความสามารถในการใช้เรื่องเล่าที่ดีและมีพลังในการดึงความสนใจของผู้คนมาสู่ประเด็นที่ถูกมองข้าม ถูกเข้าใจผิด หรือถูกปกปิดโดยเจตนา แล้วกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมและสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ของชุมชนหรือภาคส่วนต่าง ๆ จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้
ตัวอย่างเช่น Please Remember Me (2015) เป็นสารคดีจีนที่เล่าเรื่องของคู่สามีภรรยาผู้ต้องเผชิญกับโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งส่งผลให้สังคมจีน (ที่มองข้ามโรคนี้มายาวนานเนื่องจากมีทัศนคติไม่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยสูงอายุ) หันมาเข้าใจปัญหามากขึ้น จนเกิดความเห็นใจและถึงขั้นจุดประกายให้ชุมชนในเซี่ยงไฮ้ประกาศเป็น “ชุมชนเป็นมิตรกับผู้ป่วยสมองเสื่อม” แห่งแรกของจีน
จริงอยู่ที่หนังประเภทอื่น ๆ ก็ถูกนำมาใช้เพื่อรณรงค์ทางสังคมได้ แต่หนังประเภทที่ถูกใช้ได้อย่างต่อเนื่องที่สุดและมีโอกาสจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดก็หนีไม่พ้นหนังสารคดีนี่เอง เราจะพบหนังสารคดีหลาย ๆ เรื่องที่ถูกออกแบบกระบวนการจัดจำหน่ายมาให้หวังผลด้านนี้อย่างจริงจัง มันไม่ได้แค่เข้าฉายทางทีวีหรือในโรงแล้วเงียบหายไปเฉย ๆ แต่ยังพ่วงมากับแคมเปญที่มุ่งสร้าง “ผลกระทบ” (Impact) “การเข้าถึง” (Outreach) และ “การมีส่วนร่วม” (Engagement) โดยทีมทำหนังจะวางแผนอย่างรอบคอบว่า ใครควรได้ชมหนังเรื่องนั้นบ้าง เมื่อดูจบแล้วผู้ชมควรทำอะไร และพวกเขาต้องการความร่วมมือ เครื่องมือ ทรัพยากรอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ
ในรายงานชื่อ “ผลกระทบของภาพยนตร์สารคดี: การสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านการเล่าเรื่อง” (Documentary Impact: Social Change Through Storytelling – ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ Story Matters และเทศกาลหนัง Hot Docs) ยกตัวอย่างสารคดีบางเรื่องที่ผลิตโดยผู้ผลิตอิสระในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แล้วออกฉายเป็นวงกว้างและประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ โดยแต่ละเรื่องมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า “กลยุทธ์ในการสร้างผลกระทบทางสังคม” (Social Impact Strategy) บางกลยุทธ์ถูกวางแผนไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ขณะที่บางกลยุทธ์เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อปฏิกิริยาของผู้ชม ซึ่งเราขอหยิบ 3 ตัวอย่างที่น่าสนใจมาเล่าต่อ ดังนี้
สารคดีสำรวจปัญหาการกลั่นแกล้งในสหรัฐอเมริกา (มีเยาวชนกว่า 13 ล้านคนที่เผชิญกับการกลั่นแกล้งในแต่ละปี ทำให้ปัญหานี้กลายเป็นรูปแบบความรุนแรงที่พบได้มากที่สุดในหมู่เด็กและวัยรุ่น) โดยผู้กำกับ ลี เฮิร์ช ติดตามเรื่องราวของเด็ก 5 คน ครอบครัวของพวกเขา ปฏิกิริยาของครูกับผู้บริหารโรงเรียนที่ยังคงมองว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็น “เรื่องธรรมดาของเด็ก ๆ” และการเคลื่อนไหวของกลุ่มพ่อแม่เยาวชน
เป้าหมายของเฮิร์ชไม่ใช่แค่ถ่ายทอดให้เห็นปัญหา แต่เขาต้องการให้ผู้ชมเกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับระดับและผลกระทบของปัญหานี้ แล้วเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในสังคมอเมริกันที่มองว่าการกลั่นแกล้งเป็นเรื่องธรรมดา ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันแนวทางในการสร้างบรรยากาศของทุกโรงเรียนให้ปลอดภัยขึ้น
Bully มีการวางกลยุทธ์ในการเผยแพร่อย่างเป็นระบบ ได้แก่
มีเกร็ดที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่เริ่มต้นทีมงานรู้ชัดเจนแล้วว่า หากต้องการให้หนังสร้างผลกระทบได้จริงก็จำเป็นที่เด็ก ๆ จะต้องได้ดูหนังกันอย่างทั่วถึง แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อสมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา (MPAA – Motion Picture Association of America) ดันพิจารณาให้หนังได้เรต R (= เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีต้องมีผู้ปกครองพาไปดูด้วยเท่านั้น ห้ามไปดูเอง) เนื่องจากในหนังมีคำหยาบเยอะเพราะเป็นคำที่พวกบูลลี่ใช้กัน
อย่างไรก็ตาม วิกฤตินี้กลับกลายเป็นโอกาส เมื่อเด็กสาวชื่อ เคธี่ บัตเลอร์ -ซึ่งเฝ้ารอหนังเรื่องนี้อย่างตื่นเต้นเพราะเธอเองก็เผชิญกับการถูกแกล้งอยู่-รู้สึกผิดหวังที่เธอกับเด็กอีกจำนวนมากอาจจะไม่มีโอกาสได้ดูเพราะหนังติดเรต R เธอจึงตัดสินใจยื่นคำร้องผ่านเว็บไซต์ Change.org เพื่อเรียกร้องให้ MPAA เปลี่ยนเรตหนังเสียใหม่ คำร้องของเธอได้รับการลงชื่อสนับสนุนกว่า 523,465 รายชื่อและเป็นโอกาสให้ทีมผู้จัดจำหน่ายกับทีมแคมเปญของหนังเข้ามาโหมกระแส ด้วยการเชิญเคธี่กับแม่ไปนิวยอร์กเพื่อดูหนัง ตามด้วยการเดินทางไปลอสแอนเจลิสและวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อรณรงค์เรื่องนี้ต่อ
เหตุการณ์นี้ช่วยทำให้ Bully กลายเป็นกระแสระดับประเทศ ได้รับความสนใจจากรายการโทรทัศน์ชื่อดัง เช่น The Ellen DeGeneres Show, Today Show, CNN และ MSNBC แถมในวันที่ 27 มีนาคม 2012 หนังยังกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Twitter แซงหน้ากระทั่งหนังดังในตอนนั้นอย่าง The Hunger Games ด้วย จนในที่สุด MPAA ก็ยอมเปลี่ยนเรตติงของ Bully เป็น PG-13 (= เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ) แทน
หลังจากการต่อสู้ทั้งหมด (ซึ่งเราจะเห็นว่า มีทั้งที่เกิดจากการวางแผนตั้งแต่ต้น และการผลักดันแคมเปญตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้นในภายหลัง) หนังก็ประสบความสำเร็จในหลายระดับ ได้แก่
ในแต่ละปีในหลายสิบประเทศ มีการ “ซื้อขายอวัยวะ” นับพันชิ้นในตลาดมืด ทั้งที่การขายอวัยวะเป็นสิ่งผิดกฎหมายและวงการแพทย์รวมถึงองค์การอนามัยโลกก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการบริจาคอวัยวะที่มีการจูงใจเป็นเงิน แต่กระนั้นตลาดมืดนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีจากการปลูกถ่ายไตผิดกฎหมาย
เราอาจจะเคยได้ยินปัญหานี้กันมาบ้าง แต่ Tales From the Organ Trade พาเราเข้าสู่โลกของการค้าอวัยวะในตลาดมืดอย่างจะแจ้ง ด้วยการเล่าเรื่องของทั้งนายหน้าเถื่อน หมอใต้ดิน ชายหญิงที่ยากจนสิ้นหวังจนยอมขายชิ้นส่วนร่างกายเพื่อแลกเงิน และผู้ป่วยที่อยู่ในจุดที่ต้องเลือกว่าจะรักษาชีวิตตัวเองด้วยการยอมทำผิดกฎหมายหรือไม่ ทีเด็ดของหนังอยู่ตรงที่มันเจาะทะลวงเข้าไปยังทุกภาคส่วนอย่างที่ไม่เคยมีงานสื่อเชิงสืบสวนชิ้นใดทำมาก่อน โดยเปิดเผยทั้งแง่มุมทางกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรมที่ซับซ้อนของปัญหาการค้าอวัยวะ ทำให้หนังสามารถให้ข้อมูลข้อเท็จจริงสำคัญอย่างครบถ้วนและทำให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจเห็นใจไปด้วยพร้อมกัน
Tales From the Organ Trade เป็นผลงานกำกับของ ริค เอสเทอร์ เบียนสต็อค ซึ่งเป็นนักข่าวสายสืบสวนด้วย เป้าหมายของเธอคือ
ในกรณี Bully นั้น เราจะเห็นว่าการรณรงค์ของหนังใช้แนวทางขับเคลื่อนโดยประชาชน (grassroots activism) แต่ Tales From the Organ Trade ใช้อีกวิธีหนึ่งคือ “ขับเคลื่อนจากเบื้องบน” (grass-tops effort) โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ผ่านสื่อกระแสหลักและนำเสนอประเด็นนี้ต่อผู้นำทางความคิด รวมถึงผู้กำหนดนโยบายในแวดวงการแพทย์และสาธารณสุข เช่น
(หากหนังได้รับการสนับสนุนเงินทุนเพิ่มเติมและการสร้างพันธมิตรอย่างเป็นระบบ ก็มีแนวโน้มว่าประเด็นนี้จะได้รับการพิจารณาและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายมากยิ่งขึ้นไปอีก)
สารคดีเชิงสืบสวนเรื่องนี้เปิดโปงความลับอันน่าตกตะลึงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ “ปัญหาการข่มขืนในกองทัพ” โดยเล่าเรื่องราวของทหารหญิงและชายที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ (มีข้อมูลระบุว่า 1 ใน 4 ของผู้หญิงที่เข้ารับราชการทหารจะถูกล่วงละเมิดทางเพศ) ไปจนถึงการปกปิดและความล้มเหลวของระบบทหารในการจัดการกับอาชญากรรมเหล่านี้
เคอร์บี้ ดิค ผู้กำกับ และ เอมี่ เซียริง โปรดิวเซอร์ (ซึ่งเคยจับมือกันทำสารคดีเรื่อง The Hunting Ground ที่ Doc Club นำมาฉาย โดยเปิดโปงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ) มีเป้าหมายชัดเจนมากว่าหนังจะต้องสามารถนำไปสู่แก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและเร่งด่วน ด้วยการ…
วิธีที่พวกเขาใช้เพื่อให้หนังสามารถบรรลุผลตามเป้าหมายข้างต้นก็น่าสนใจมาก ๆ เริ่มจากการที่หนังต้องไม่ใช่แค่เล่าให้เรารู้เฉย ๆ ว่า “เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง” แต่มันจะต้องทำหน้าที่ “กำหนดกรอบประเด็นใหม่” หรือชวนให้ผู้ชมมองปัญหาในมุมใหม่ พวกเขาต้องการทำลายความเชื่อเก่า ๆ ของสังคมที่ว่า “การข่มขืนเป็นแค่ความผิดของคนบางคนและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแค่เป็นครั้งคราว” แต่นำเสนอว่า แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องของ “ผู้กระทำผิดต่อเนื่อง” (serial predator – คนที่ข่มขืนคนอื่นมักมีพฤติกรรมแบบนักล่า คือทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเพราะพลั้งเผลอชั่วครู่) และมันไม่ใช่แค่ปัญหาระดับปัจเจก แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ถัดมาก็คือการกำหนดกลยุทธ์ในการเผยแพร่หนัง โดยสิ่งที่ The Invisible War ทำประกอบด้วย
และผลที่เกิดขึ้นก็คือ หนังสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อทั้งวัฒนธรรมและนโยบายในกองทัพ ดังนี้
นอกจากนั้น ประเด็นการข่มขืนในกองทัพยังได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักอย่างกว้างขวาง เช่น ซีรี่ส์ House of Cards และ Law & Order: SVU นำประเด็นไปเป็นเนื้อหาหลักของเรื่องด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้ The Invisible War ได้รับการบันทึกว่า เป็นหนึ่งในสารคดีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแง่ของการสร้างผลกระทบทางสังคม
โครงการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาพยนตร์สารคดี
ได้รับการส่งเสริมจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม