นีโอ โซระ : ความฝัน การเมือง วัยรุ่น ดนตรี – Happyend

โดย ธนพนธ์ อัคควทัญญู

Neo

Happyend เป็นหนังวัยรุ่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพและการเติบโต บนฉากหลังของสังคมยุคอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะล่มสลาย ท่ามกลางการแผ่ขยายของความเกลียดชังทางการเมือง อะไรทำให้ "นีโอ โซระ" คิดเรื่องราวเช่นนี้-แบบที่หาดูได้ไม่ง่ายเลยในหนังวัยรุ่นญี่ปุ่น-ออกมาได้ ซ้ำยังทำมันได้อย่างงดงามเหลือเกิน ...บ่ายวันหนึ่งขณะที่เขาเดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ เราไปพูดคุยกับเขาเพื่อค้นหาคำตอบ

Happyend เริ่มต้นมาอย่างไร

ผมมีไอเดียหลากหลายมาก นี่เป็นหนังยาวเรื่องแรกของผม ผมเรียนภาพยนตร์และก็อยากทำหนังยาวมาตลอด ช่วงเรียนอยู่ที่มหา’ลัยผมรวบรวมไอเดียไว้เต็มไปหมด จนประมาณปี 2017 ผมก็รู้สึกว่าไอเดียทั้งหมดค่อย ๆ เริ่มก่อร่างกลายเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งมันก็กลายมาเป็น Happyend ในเวลาต่อมา 

 
ไอเดียเหล่านี้เช่นอะไรบ้าง

เช่น ผมชอบหนังแนววัยรุ่นแกงสเตอร์ พวก Rebel Without a Cause, A Brighter Summer Day หรือ Rebels of the Neon God ผมชอบพวกหนังแนววัยรุ่นขบถสังคมมาก และผมก็มีภาพภาพหนึ่งที่ติดอยู่ในหัวมานาน เป็นภาพวัยรุ่นสองคนกำลังผลักซับวูฟเฟอร์ขนาดมหึมาไปบนถนนมืด ๆ ในโตเกียว ซึ่งนี่แหละที่น่าจะเป็นภาพแรกที่ผมมีกับหนังเรื่องนี้

นอกจากนั้น มันก็มีก้อนความรู้สึกหนึ่งที่ผมสัมผัสจากช่วงเวลาในมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นผมเริ่มสนใจการเมือง ถ้าเรียกง่าย ๆ ก็คงพูดได้ว่า “ซ้ายขึ้น”…ซึ่งก็อาจจะพูดง่ายเกินไปหน่อยนะ แต่เอาเป็นว่ามันเหมือนผมตระหนักรู้มากขึ้นว่าโลกนี้ทำงานอย่างไร รู้จักประวัติศาสตร์ของทุนนิยม ลัทธิอาณานิคม หรือจักรวรรดินิยมมากยิ่งขึ้น

แต่เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด ก็คือเหตุการณ์วันที่ 11 มีนาคม 2011 ที่ฟูกูชิมะ* ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เริ่มทำกิจกรรมการเมืองมาด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นเราสนใจแค่เรื่องดนตรีและศิลปะมากกว่า แต่เราก็พัฒนาความคิดทางการเมืองของเราเองมาด้วยกัน เราสนิทกันมากขึ้นและมีแนวคิดทางการเมืองที่เข้มข้นขึ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นที่สหรัฐฯ ขบวนการ Occupy Wall Street กำลังจะเริ่ม และต่อมาไม่นานก็เกิดขบวนการ Black Lives Matter ขึ้น ผมเริ่มห่างเหินออกจากเพื่อน ๆ เพราะผมรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้สนใจปัญหาพวกนี้ แต่แล้วหลังจากนั้นเพื่อนสนิทของผมคนนี้ก็กลายเป็นคนที่แนวคิดสุดโต่งมากกว่าผม และเขาก็เริ่มห่างเหินออกไปจากผมเหมือนกัน 

สำหรับผม มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก พอผมเริ่มสูญเสียเพื่อนไปเพราะกิจกรรมทางการเมือง มันจึงทำให้ผมรู้สึกเศร้าเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่ผมเข้าใจและก็คงอธิบายได้ว่าทำไมเพื่อนของผมถึงห่างกันไป แต่ความเข้าใจกับความรู้สึกมันต่างกัน และไอ้ก้อนความรู้สึกนี้แหละครับที่ผมอยากจดจำและบันทึกมันลงในหนัง

[*หมายถึงเหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ เป็นอุบัติเหตุด้านพลังงานที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฟูกูชิมะ ที่เป็นผลเบื้องต้นมาจากคลื่นสึนามิจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว]

เข้าใจว่าอีกหนึ่งแรงบันดาลใจคือเรื่องประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นใช่ไหม

ในปี 1923 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในคันโต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสังหารหมู่ชาวเกาหลี (Zainichi Koreans*) พร้อมกับชาวจีนและกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เป็นผลพวงของอาณานิคมและการเหยียดเชื้อชาติ และในความวุ่นวาย รัฐบาลก็ได้นำเหตุการณ์นั้นมาเป็นข้ออ้างในการสังหารและจับกุมนักเคลื่อนไหวในโตเกียวหรือทั่วประเทศ ผมเรียนรู้สิ่งนี้ในปี 2014 ซึ่งที่ญี่ปุ่นยังมีการชุมนุมต่อต้านเกย์หรือชาวเกาหลีเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันทำให้ผมเห็นว่าประวัติศาสตร์ยังคงมีผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้ และถ้าเราไม่เรียนรู้จากมัน ถ้าแผ่นดินไหวใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง อะไรบางอย่างที่คล้ายการสังหารหมู่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

[*ชาวเกาหลีไซนิจิ คือลูกหลานของชาวเกาหลีรุ่นที่อพยพเข้าไปอยู่ในญี่ปุ่นตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 1945 จนมีเชื้อชาติสัญชาติญี่ปุ่น ถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่เป็นอันดับสองที่นั่น และเคยผ่านการถูกกดขี่มายาวนาน]

 

คุณหาทุนในการหนังอย่างไร

ผมเริ่มจากการสมัครแล็บต่าง ๆ ให้มากที่สุด เนื่องจากพวกเรา ทั้งไอโกะกับอัลเบิร์ต (ไอโกะ มาสุบาชิ โปรดิวเซอร์ กับ อัลเบิร์ต โทเลน โปรดิวเซอร์และมือตัดต่อ) และผม ไม่เคยมีใครทำหนังมาก่อนเลย แล็บเกือบทั้งหมดปฏิเสธเรา พวกเราจึงคิดไอเดียว่าจะทำหนังสั้นขึ้นมาก่อน แล้วก็เริ่มส่งหนังสั้นพวกนั้นเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราได้เข้าร่วมโปรแกรมและแล็บมากยิ่งขึ้น 

กลับมาที่เรื่องไอเดีย แม้ว่าทั้งหมดจะฟังดูเป็นเรื่อง “หนัก” แต่ความน่าสนใจของหนังคือ มันถูกเล่าด้วยท่าทีที่นุ่มนวลและสงบ

ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถรู้จักใครได้อย่างแท้จริง เช่น ผมรู้จักตัวเองดี รู้จักพ่อแม่และเพื่อน ๆ ของผมดี แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าพวกเขามีอะไรในใจ เราจะรู้ได้จากหลักฐานที่เกิดขึ้นจากภายนอกเท่านั้น ผมจึงไม่ชอบหนังที่ทำให้คุณเชื่อว่าคุณสามารถเข้าถึงอารมณ์ของคนอื่นได้ เพราะจริง ๆ แล้วคุณทำไม่ได้หรอก คุณมีได้แค่บรรยากาศ และผมให้ความสำคัญกับบรรยากาศมาก 

เวลาเราเขียนบท โดยเฉพาะในอเมริกา พวกเขาจะบอกให้คุณคิดถึงความผูกพันทางอารมณ์ ความเป็นส่วนตัวภายใน และอารมณ์ของตัวละคร แต่สำหรับผม บางครั้งผมก็คิดว่าไม่จำเป็น ผมอยากให้คนดูรู้สึกถึงบรรยากาศของตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับผลกระทบจากสังคมที่พวกเขาอยู่ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนรู้สึกว่าหนังมันสงบและผ่อนคลาย 

ผมจะทำให้มันต่างจากนี้ก็ได้ ด้วยการซูมใกล้ใบหน้าของตัวละครมากขึ้นและอธิบายเหตุผลที่พวกเขารู้สึกแบบนั้นแบบนี้อย่างละเอียดยิบ แต่ผมไม่ชอบหนังแบบนั้น เพราะมันทำให้คุณเข้าใจผิดว่าคุณสามารถเข้าถึงอารมณ์ของเขาได้จริง ๆ 

 

จริง ๆ แล้วหนังมีอารมณ์ขันเยอะมาก ๆ ด้วย

กว่า 7 ปีที่อยู่กับเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าผมมีระยะห่างทางอารมณ์จากสิ่งที่เคยรู้สึกมา นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมมองมันด้วยอารมณ์ขันได้มากขึ้น แต่จริง ๆ แล้วผมก็ชอบอารมณ์ขันด้วย ผมชอบหนังตลก

และสำหรับผม อารมณ์ขันมันเหมาะกับการถ่ายภาพแบบมุมกว้าง ในขณะที่โศกนาฏกรรมคือการซูมเข้าไปใกล้ ๆ ซึ่งมันก็ตรงกับความเป็นจริงอยู่นะ เพราะถ้าคุณอยู่ใกล้กับเหตุการณ์ คุณจะรู้สึกโกรธหรือเศร้าไปกับมันมากจนมองไม่เห็นสิ่งรอบตัว แต่ถ้าคุณมีระยะห่างจากมัน คุณก็จะมองเห็นความโกรธจากระยะไกล ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าคนที่โกรธนั้นมีความสำคัญน้อยลงนะ แต่เหมือนเรามองในบริบทของสังคมที่กว้างขึ้นมากกว่า

คุณคิดเห็นอย่างไรกับวัยรุ่นและความโกรธเกรี้ยว

ตัวละครในหนังเรื่องนี้เป็นนักเรียนมัธยม แต่ถ้าผมนึกถึงตัวเองตอนมัธยม ผมแทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องการเมืองเลยนะ หรือแม้แต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมก็เพิ่งจะเริ่มสามารถสื่อสารความคิดทางการเมืองของตัวเองได้

มันมีช่วงเวลาที่ผมโกรธอะไรบางอย่างซึ่งดูสมเหตุสมผล มีช่วงที่ถ้าผมอยากจะลงมือทำอะไรบางอย่าง ผมก็อยากให้มันเป็นสิ่งที่ “บริสุทธิ์” อย่างเต็มที่ เหมือนว่าผมเรียกร้องหา “ความบริสุทธิ์ในแนวคิด” หรือ “ความบริสุทธิ์ทางอุดมการณ์” จากคนอื่นน่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ และบางทีเหตุผลที่ผมต้องการแบบนั้นอาจจะเกิดจากความรู้สึกผิดที่ผมมีต่อตัวผมเองก็ได้ 

ผมคิดว่าความเป็นจริงมันซับซ้อนมาก และระยะห่างจะช่วยให้เราเริ่มเข้าใจมันได้ แม้ผมจะคิดว่าความโกรธของวัยรุ่นที่ขบถนั้นมีเหตุผลและจำเป็นสำหรับสังคม แต่บางครั้งมันก็ดูเหมือนจะโง่เขลาหรือไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ซึ่งภาพทั้งหมดนั้นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะจับเอามาไว้ด้วยกันในหนังเรื่องนี้

 
การตอบรับที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง

ผมอาจจะพูดด้วยความลำเอียงนิด ๆ นะ แต่โดยรวมแล้วมันดูเป็นไปในแง่บวก ในญี่ปุ่นมีนักวิจารณ์ศิลปะหรือวัฒนธรรมที่ไม่ค่อยพูดถึงการเมืองหรือสถานการณ์ของโลก แต่การพูดถึงหนังเรื่องนี้มันช่วยให้พวกเขาสามารถพูดแนวคิดของตัวเองออกมาได้ ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจมาก ๆ

คุณมองประเด็นเรื่องการเหยียดเชื้อชาติในญี่ปุ่นอย่างไร คิดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

ผมคิดว่าการเหยียดเชื้อชาติในญี่ปุ่นแตกต่างจากในอเมริกา เพราะมันยึดโยงอยู่กับความเกลียดชังคนต่างด้าวมากกว่า ผมคิดว่าญี่ปุ่นถูกล้างสมองให้เชื่อว่ามีวัฒนธรรมและเอกลักษณ์หนึ่งเดียว ซึ่งสำหรับผมมันไม่เป็นความจริงเลย มันเป็นเรื่องใหม่หลังยุคเมจิ หลังจากที่ญี่ปุ่นเริ่มทำให้ทันสมัยเพื่อรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียวและเพื่อป้องกันผู้ล่าอาณานิคมจากยุโรป แต่เห็นได้ชัดว่าญี่ปุ่นเองก็มีความปรารถนาในอาณานิคมที่จะขยายตัวด้วย ผมคิดว่าสองสิ่งนี้ทำงานร่วมกันเพื่อทำให้ตำนานของความเป็นคนญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น ผมจึงมักจะสงสัยและระแวงใน “ตัวตนของคนญี่ปุ่น” เพราะสำหรับผมมันแทบจะจำกัดความไม่ได้เลย 

ตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องนี้คือ ความจริงที่ว่าก่อนหน้าปี 1945 หรือจริง ๆ แล้วปี 1947 นั้น ชาวเกาหลี ชาวแมนจูเรีย ชาวจีน ชาวไต้หวัน (ซึ่งเคยเป็นประชาชนในอาณานิคมของญี่ปุ่น) ถูกมองว่าเป็นพลเมืองญี่ปุ่นในเชิงเทคนิค โดยถือว่าเป็น “ประชาชนของจักรพรรดิ์” พวกเขาจำนวนมากจึงถูกนำตัวเข้ามาทำงานในญี่ปุ่นโดยถูกบังคับ แต่ก็มีอีกหลายคนที่มาด้วยความสมัครใจเพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นดีกว่า ญี่ปุ่นมีคนงานชาวเกาหลีเยอะมากเพราะพวกเขาทำงานในอัตราค่าจ้างต่ำ ขณะที่นักทุนนิยมญี่ปุ่นก็เดินทางไปเกาหลีเพื่อเริ่มต้นธุรกิจและระบบทุนนิยม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นในประเทศ ซึ่งผมคิดว่านี่คือสาเหตุที่นำมาสู่การสังหารหมู่

ในปี 1947 หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม กฎสุดท้ายที่จักรพรรดิ์บังคับใช้เรียกว่า “กฎหมายจดทะเบียนชาวต่างประเทศ” ซึ่งระบุให้ชาวเกาหลี ชาวไต้หวัน และผู้ที่เคยอยู่ในอาณานิคมต้องเลือกว่าจะจดทะเบียนเป็นชาวต่างประเทศ หรือจะเปลี่ยนสัญชาติเป็นญี่ปุ่น แต่คนส่วนใหญ่เลือกจดทะเบียนเป็นชาวต่างประเทศ ซึ่งก็หมายความว่า คุณจะตกอยู่ในประเภทของ “บุคคลที่สามารถถูกเนรเทศออกจากประเทศ” ได้ และหน่วยงานที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมและเฝ้าดูชาวต่างประเทศเหล่านี้ก็คือระบบกักขังในปัจจุบัน เช่น ระบบกักขังผู้อพยพในยุคปัจจุบันที่เรามองเห็นนั้น มีรากฐานมาจากสถาบันที่รัฐบาลหลังอาณานิคมตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและเฝ้าดูชาวต่างประเทศ 

หลายคนอาจจะมองว่าธีมต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ การเฝ้าระวัง ฟาสซิสม์ ฯลฯ นั้นแยกออกจากกัน แต่ความจริงแล้วทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน มันคือรากฐานของอัตลักษณ์ญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดมาจากประวัติศาสตร์อาณานิคม ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ผมพยายามใช้ในหนัง เพราะระบบการเฝ้าระวังทุกสิ่งทุกอย่าง, แนวคิดเกี่ยวกับความเป็น “คนญี่ปุ่น” และคนที่หลงในระบบอัตลักษณ์ เช่น อัตลักษณ์ของชาติ เหล่านี้แหละคือกลุ่มคนที่ผมอยากจะรวมไว้ในเรื่อง 

ตอนนี้ในโตเกียวคุณจะเห็นคนที่ “ดูไม่เหมือนคนญี่ปุ่น” มากมาย แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาอาจจะ “เป็นคนญี่ปุ่น” มากกว่าผมเสียอีก ความที่ปัจจุบันจำนวนประชากรลดลง ผมคิดว่าญี่ปุ่นคงกำลังพิจารณาว่าจะเพิ่มการรับผู้อพยพเข้ามาดีหรือไม่ แต่ระบบการจัดประเภทผู้อพยพนั้นให้ความสำคัญกับ “คุณสมบัติ” มาก ๆ ถ้าคุณมีประโยชน์ต่อญี่ปุ่น เช่น เป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือหมอ คุณสามารถมาได้ พาครอบครัวมา สร้างชีวิตในประเทศนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีคุณค่า เราจะแค่ต้องการแรงงานของคุณ คุณจะไม่ได้รับสิทธิ์พาครอบครัวมา คุณต้องออกไปภายใน 3-5 ปี แค่มาทำงานที่นี่แล้วออกไปเพราะเราไม่ต้องการชาวต่างชาติ ผมคิดว่านี่เป็นระบบที่เหยียดเชื้อชาติมาก ๆ แต่มันก็คือสิ่งที่รัฐชาติมักจะเป็น ผมคิดว่ารัฐชาติมีพื้นฐานมาจากความเหยียดเชื้อชาติ แต่ในอนาคต เนื่องจากประชากรลดลง ผมก็คิดว่าญี่ปุ่นจะต้องมีความหลากหลายมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะมีคนที่เกิดในญี่ปุ่นที่มีรากฐานจากวัฒนธรรมและเชื้อชาติอื่น ๆ มากขึ้น ๆ ซึ่งคุณก็เห็นอยู่แล้วในวันนี้ แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นสิ่งนี้ในหนัง

ขณะเดียวกัน เมื่อความหลากหลายในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น คุณเห็นนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็เริ่มมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมโต้กลับแบบ “คนญี่ปุ่นแท้” กลับมาอีกครั้ง บางคนจึงออกมาบอกว่าสาเหตุที่สภาพเศรษฐกิจแย่ลงก็เพราะรัฐบาลให้สิทธิ์แก่ชาวต่างชาติมากเกินไป และพวกเขาก็โยนความผิดให้กับคนเกาหลี คนจีน นี่คือสิ่งที่นักการเมืองฝ่ายขวาหลายคนพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งโง่และไม่จริงเลย

แต่ด้วยเหตุนี้แหละ หลาย ๆ สิ่งที่เราเคยเห็นเมื่อปี 1923 ตอนเกิดการสังหารหมู่ จึงกำลังเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง เริ่มมีพลเรือนชาวญี่ปุ่นรวมตัวกันเป็นกลุ่มป้องกันตนเองแล้วออกตรวจตราย่านของตนเพื่อต่อต้านชาวต่างชาติ เช่น ในจังหวัดไซตามะ มีเมืองหนึ่งที่มีชาวเคอร์ด (Kurdish) จำนวนมาก และกลุ่มป้องกันตนเองแบบเฝ้าระวังของชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาแบบมีอคติมาก พวกเขาตามติดผู้อพยพไปตามถนนและที่อื่น ๆ เพราะเชื่อว่าชาวเคอร์ดเป็นอาชญากร

สถานการณ์การเหยียดเชื้อชาติจึงกำลังแย่ลงมาก ๆ ตอนนี้ คนญี่ปุ่นพยายามโยนความผิดให้ชาวต่างชาติ แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพราะคนญี่ปุ่นเองนั่นแหละ เพราะพวกเขาถูกล้างสมองด้วยตำนานที่ว่า “ญี่ปุ่นเป็นของคนญี่ปุ่น” ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย

ทำไมคุณถึงเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในอนาคต

จุดเริ่มต้นของไอเดียคือ ถ้าเราไม่ทำอะไรบางอย่างกับการเหยียดเชื้อชาติในญี่ปุ่น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีแผ่นดินไหวใหญ่อีก ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงเป็นการสมมุติเกี่ยวกับอนาคตอันใกล้ เพราะมันเป็นการทดลองทางความคิด เป็นเหมือนกับเรียงความที่ผมเขียนขึ้นมา

 
คุณเคยเอ่ยถึง ริวสุเกะ ฮามากุจิ (ผู้กำกับ Drive My Car) ในบทสัมภาษณ์ คุณได้รับอิทธิพลอะไรจากเขาหรือจากผู้กำกับคนอื่นบ้าง

ไอโกะ (โปรดิวเซอร์) เคยเป็นล่ามให้ฮามากุจิ พวกเราทั้งหมดจึงสนิทกัน ผมขอคำแนะนำจากเขาตอนจะเริ่มทำ Happyend เนื่องจากนักแสดง 4 ใน 5 คนของผมไม่ใช่มืออาชีพ ผมจึงถามเขาถึงประสบการณ์ตอนที่เขาทำหนังเรื่อง Happy Hour และผมก็นำคำแนะนำมาใช้ด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะรักหนังของเขามาก ๆ แต่ผมไม่คิดว่าผมได้รับอิทธิพลจากเขามากขนาดนั้นนะ อาจจะมีในระดับจิตใต้สำนึก แต่จริง ๆ แล้วผมชอบหนังคลาสสิกของฮอลลีวูด หนังไต้หวันนิวเวฟและ New German Cinema มากที่สุด หนังเหล่านี้คือแหล่งแรงบันดาลใจหลักของผม

สำหรับไต้หวัน เอ็ดเวิร์ด หยาง เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ผมชอบที่สุด ส่วนหนังคลาสสิกฮอลลีวูด ผมชอบ แอร์นสต์ ลูบิตช์ มาก ผมชอบอารมณ์ขันและการจัดวางภาพแบบคลาสสิกที่มีความหมาย ส่วนคนทำหนังเยอรมันผมชอบ ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์

สุดท้ายอยากให้คุณพูดถึงดนตรีประกอบในหนัง

ผมได้เจอกับ Lia Ouyang Rusli หลังจากเรียนจบมหา’ลัย ทั้งที่ความจริงเราจบมาจากที่เดียวกันนะ พวกเขาทำงานดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ทำเพลงแนวแอมเบียนต์ เพลงสำหรับคลับ รวมไปถึงเพลงประกอบหนังซึ่งก็ทำได้ดีมาก พวกเขาศึกษางานของ โจ ฮิซาอิชิ (คอมโพสเซอร์ของหนังแอนิเมชั่นค่ายจิบลิและหนังของ ทาเคชิ คิตาโน) กันอย่างจริงจังและได้รับอิทธิพลมาเยอะมาก ซึ่งอาจจะมากเกินไปด้วย บางทีผมก็อยากให้พวกเขาทำเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่านี้

เราทดลองด้นสดกันในช่วงที่ผมกำลังตัดต่อหนัง โดยพวกเขามาดูหนังแล้วก็แต่งทำนองขึ้นมา บางช่วงผมก็จะบอกว่าอยากให้เพลง “ซับซ้อนขึ้นหรือคลุมเครือขึ้น” แล้วพวกเขาก็จะทำไปในแนวทางนั้น

บางส่วนของดนตรีเราได้รับอิทธิพลมาจากบาค เช่น เพลงเปิดเรื่องและปิดเรื่อง เนื่องจากเราอยากทำเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่า “ประวัติศาสตร์กำลังเปลี่ยนแปลง” เหมือนยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์กำลังจะสิ้นสุดลง ทำให้มันยิ่งใหญ่และมีอารมณ์ความรู้สึก

แนวคิดหนึ่งของผมซึ่งใช้ทั้งในการถ่ายทำและดนตรีก็คือ ผมอยากให้ความรู้สึกของหนังเป็นเหมือน “ความทรงจำ” เหมือนกับว่าตอนนี้ยูตะกับโคอายุ 30 ปีแล้วย้อนนึกถึงอดีตสมัยมัธยมของตัวเอง การถ่ายทำและดนตรีจึงมีมุมมองทางอารมณ์ที่สะท้อนความรู้สึกแบบที่ว่านี้ออกมา คือเป็นการมองที่มีระยะห่างออกไปนิดหน่อย เป็นความทรงจำถึงวันเหล่านั้นอย่างอบอุ่น แต่ก็มีความเจ็บปวดเจือปนอยู่เล็กน้อยด้วย นี่คือความรู้สึกที่ผมได้แบ่งปันกับ  Lia Ouyang Rusli ในการแต่งเพลง ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจเหมือนกันนะพอย้อนกลับมาดู เพราะผมไม่ได้อยากให้หนังมีแฟลชแบ็ค แต่เหมือนกับว่าตัวหนังทั้งเรื่องนั่นแหละเป็นแฟลชแบ็คของยูตะกับโค

Related Films

Happyend

ในโตเกียวอนาคต ท่ามกลางความหวาดกลัวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เพื่อนซี้สองคนที่กำลังจะจบมัธยมปลายก่อเรื่องแกล้งครูใหญ่ จนโรงเรียนติดตั้งกล้องวงจรปิดไปทั่ว ภายใต้การเฝ้าระวังที่เข้มงวดและการเมืองที่วุ่นวาย ความแตกต่างที่ไม่เคยปรากฏระหว่างพวกเขาเริ่มปริแตก เมื่อคนหนึ่งตื่นตัวทางการเมือง ขณะที่อีกคนเลือกจะใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

Ryuichi Sakamoto: Opus

5 ทศวรรษ 20 บทเพลงอมตะ การแสดงครั้งสุดท้ายของคีตกวีผู้เป็นตำนาน บันทึกไว้ในรูปแบบภาพยนตร์โดยบุตรชายของเขาเองและทีมงานทั้งหมดที่เขาไว้วางใจ